อิสลามปฏิรูปการแต่งงานของชาวอาหรับ

บรรจง บินกาซัน

ครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคม ถ้าครอบครัวมั่นคง สังคมก็เข้มแข็ง แต่ถ้าครอบครัวแตกสลาย สังคมย่อมพังทลายในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ทุกวัฒนธรรมจึงมีกฎเกณฑ์ในการเริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการแต่งงานและวางกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อห้ามบางอย่างไว้ในการแต่งงาน


ในลัทธิพราหมณ์ก่อนหน้าสมัยพุทธกาล มนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นสี่วรรณะ การแต่งงานข้ามวรรณะเป็นสิ่งต้องห้าม หากมีการฝ่าฝืน ลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะถือเป็นคนจัณฑาลที่สังคมไม่ยอมรับและถูกเหยียดหยามว่าเป็นสิ่งสกปรก แม้แต่เงาของคนจัณฑาลหากโดนบ่อน้ำ ผู้คนก็ถือว่าบ่อน้ำนั้นสกปรก

ชาวยิวก็มีกฎห้ามชาวยิวแต่งงานกับคนที่ถูกเรียกว่า “คนต่างชาติ” ซึ่งหมายถึงคนต่างศรัทธาหรือต่างศาสนา แต่ต่อมาเมื่อชาวยิวเริ่มรู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ของตนเป็นชนชาติที่เหนือกว่าชนชาติอื่น คนต่างชาติจึงหมายถึงคนที่ไม่ได้มีเชื้อสายยิว ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเองไว้ให้บริสุทธิ์

ในอิสลามก็มีข้อจำกัดบางอย่างในการแต่งงานเช่นกัน


เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺมายังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านจำเป็นต้องสร้างสังคมใหม่ที่วางพื้นฐานอยู่บนความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและคนที่อพยพมากับท่านด้วยนั้นส่วนใหญ่แล้วมีครอบครัวด้วยกันทั้งสิ้น แต่สามีภรรยาในบางครอบครัวมีความศรัทธาต่างกัน นั่นคือฝ่ายหนึ่งยังเคารพกราบไหว้เทวรูปและอีกฝ่ายหนึ่งศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและถือว่าการกราบไหว้รูปปั้นเป็นบาปใหญ่

เพื่อมิให้ความเชื่อที่ต่างกันเป็นเหตุหนึ่งที่สร้างความร้าวฉานและทำให้ครอบครัวเกิดความแตกแยก ท่านนบีได้รับบัญชาจากพระเจ้าว่าครอบครัวของมุสลิมจะต้องประกอบด้วยสามีและภรรยาที่มีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดประสงค์ที่จะกราบไหว้เทวรูปอื่นๆก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากับคู่ครองที่มีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวได้ หากอยู่ร่วมกันไปถือเป็นการผิดประเวณี

ดังนั้น ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่เคยเคารพกราบไหว้เทวรูปในมักก๊ะฮฺสมัครใจที่จะศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและต้องการจะใช้ชีวิตครอบครัวกับคู่ครองมุสลิม ทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันต่อไปได้โดยไม่ต้องมีพิธีการแต่งงานใหม่ แต่ถ้าไม่สมัครใจที่จะศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวก็ต้องแยกทางกันไป

ดังนั้น ในอิสลาม ความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญประการแรกในการแต่งงานเพื่อเริ่มต้นครอบครัว ไม่ใช่วรรณะ เชื้อสายและเผ่าพันธุ์

ความจริงแล้ว อิสลามส่งเสริมการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์เชื้อสายเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการลดความรู้สึกทะนงในเชื้อสายและการเหยียดผิวชังพันธุ์ นอกจากนั้น ลูกที่ออกมาจากการแต่งงานข้ามเชื้อสายยังมีลักษณะเด่นอีกด้วย ผิดกับการแต่งงานในเชื้อสายใกล้ชิดที่ลูกออกมามักมีลักษณะด้อย

เงื่อนไขสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการปฏิรูปโดยนบีมุฮัมมัดคือ ทรัพย์สินที่ผู้ชายมอบให้ฝ่ายหญิงเพื่อการแต่งงาน ทรัพย์สินนี้เรียกว่า “มะฮัรฺ” (อ่านว่ามะฮัด)ซึ่งอาจเป็นเงิน ทองคำหรือสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าสาวมีสิทธิ์เรียกร้องต้องการ แต่นบีมุฮัมมัดแนะนำว่ามะฮัรฺที่ดีที่สุดคือมะฮัรฺที่ผู้ชายสามารถหามาได้โดยสะดวกเพื่อทำให้การแต่งงานเป็นเรื่องง่ายและการผิดประเวณีเป็นเรื่องยาก

ในยุคก่อนหน้าอิสลาม มะฮัรฺจะตกเป็นของพ่อหรือหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้ปกครองดูแลผู้หญิงและผู้หญิงไม่ได้รับสิทธิ์ในเรื่องนี้ แต่นบีมุฮัมมัดได้กำหนดว่ามะฮัรฺเป็นสิทธิของผู้หญิง ในตอนทำพิธี มะฮัรฺนี้ตกเป็นของเจ้าสาวครึ่งหนึ่งก่อน จนกว่าสองฝ่ายจะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาแล้ว มะฮัรฺทั้งหมดจะเป็นของผู้หญิง หากทำพิธีแล้ว ทั้งฝ่ายไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ มะฮัรฺครึ่งหนึ่งจากที่ตกลงกันไว้จะคืนให้แก่ผู้ชายที่เป็นเจ้าบ่าว แต่ยังไม่ได้เป็นสามีของหญิงที่ตัวเองแต่งงานด้วย

นบีมุฮัมมัดแต่งงานเมื่ออายุ 25 ปีในขณะยังไม่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นศาสนทูตประกาศศาสนา ท่านแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮฺเศรษฐินีหม้ายวัย 40 ปี แม้ท่านจะฐานะด้อยกว่าเจ้าสาวของท่าน แต่ท่านได้ให้มะฮัรฺแก่นางเคาะดีญะฮฺเป็นเหรียญเงินดิรฺฮัม 500 เหรียญ



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Islamic reform of the Arab marriage

Banjong Binkason


Family is the foundation of society. If the family is stable Society is strong But if the family is broken Society ultimately breaks down. For this reason, every culture has rules for starting a family through marriage and setting certain prohibitions in marriage.

In Brahmanism before the modern era Humans are divided into four castes. Cross-caste marriages are forbidden. If there is a violation Children born from cross-caste marriages are considered untouchable by society and are cited as dirty. Even the shadow of untouchables if touched by a pond People think that the well is dirty.

Jews also have rules prohibiting Jews from marrying people who are called "foreigners", meaning people of different faiths or religions. But later, when the Jews began to feel that their race was a nation superior to other nations Gentiles therefore refer to those who do not have Jewish descent. This is to preserve one's own race to be pure.

In Islam, there are some limitations in marriage.


When Prophet Muhammad migrated from Makkah to Medina You need to create a new society that is based on faith in one God and those who emigrate with you also have a majority of families. But husbands and wives in some families have different faiths That is, one side still respects idol worship and the other party believes in one God and considers idolatry to be a great sin.

To prevent different beliefs is one of the reasons that cause disintegration and divide the family. The Prophet was commanded by God that a Muslim family must consist of a husband and wife who have the same faith in God. If one party wishes to pay obeisance to other idols, they may not be together as spouses and spouses who have faith in one God. Living together is considered a sexual immorality.

Therefore, if any one who has previously respected idol worship in Makkah is willing to believe in one God and want to spend the family life with a Muslim spouse Both parties can stay together without a new wedding ceremony. But if not willing to believe in one God, it must be separated

Therefore, in Islam, faith in one God is the first important condition in marriage to start a family, not caste, lineage, and race.

In fact, Islam even encourages intermarriage. Because it reduces feelings of pride in lineage and racial discrimination. In addition, children born out of marriages across the lineage also have distinctive characteristics. In contrast to marriages in the intimate descent that children have come out, they are often inferior.

Another important condition that was reformed by Prophet Muhammad is Property that a man gives to a woman for marriage This property is called "Maharaj" (pronounced Mahad), which may be money. Gold or anything that the bride has the right to demand But the prophet Muhammad suggested that the best Maharaj was the one which men could easily find to make marriage easy and fornication difficult.

In the era before Islam Maharaj would belong to the father or leader of the tribe who ruled over women and women were not entitled to this right. But the Prophet Muhammad had determined that Maharaj was the right of the woman during the ceremony. The Maharaja became half of the bride first. Until both parties are together as husband and wife All Maharaj will belong to women. After performing the ceremony Both parties cannot be together. The half of Maharaj from the agreement would return the man to the groom. But was not the husband of the woman she married

Prophet Muhammad married at the age of 25 while not yet appointed to be a missionary. He married Mrs. Tap Dijah Ssetthini, a 40-year-old, although he was inferior to his bride. But he gave Maharaj to Tapped Dijah 500 silver dirhams

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason