การแทรกแซงจากพระเจ้า

บรรจง  บินกาซัน

หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์ค้นพบกฎต่างๆที่ควบคุมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจนสามารถอธิบายหรือคำนวณเวลาที่จะเกิดปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างแม่นยำ เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง  การเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นต้น

แต่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่งเป็นที่มาของลัทธิโลกานิยม(Secularism) ทำให้มนุษย์ผู้นิยมล้ทธินี้ไม่เพียงปฏิเสธพระเจ้าเท่านั้น  แต่ยังพยายามหาทางอธิบายให้พระเจ้าอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ตัวเองค้นพบด้วย  

เมื่อถูกถามว่า “ธรรมชาติคืออะไร?”  สาวกลัทธิโลกานิยมกลับให้คำตอบที่กำกวม  บางคนกล่าวว่าทุกสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติเป็นสิ่งที่กิดขึ้นมาเอง   แต่การอธิบายเช่นนี้ถือว่าขัดกับวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาต้องมีสาเหตุ   แค่มองสาเหตุไม่เห็น สาวกลัทธิโลกานิยมก็ด่วนสรุปแล้วว่าไม่มีสาเหตุ ใครจะกล้าพูดขณะมีชีวิตว่าตัวเองไม่มีวิญญาณเพราะตัวเองมองไม่เห็นวิญญาณ

คำสอนของศาสนาสำคัญๆของโลกที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์กล่าวตรงกันว่าทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเป็นสิ่งพระเจ้าสร้างขึ้นและทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อควบคุมมันให้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระองค์   ธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจึงเป็นหลักฐานยืนยันถึงอำนาจของพระเจ้าในฐานะผู้สร้างและผู้ควบคุม

นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้สร้างดาวนับแสนล้านดวงขึ้นมาในจักรวาลและวางโปรแกรมไว้ให้มันต้องดำเนินไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ไม่ต่างจากการวางโปรแกรมล่วงหน้าให้โดรนหลายร้อยลำบินแปรรูปหรือตัวอักษรในอากาศ  

เมื่อมนุษย์สร้างสุ่มเพื่อครอบไก่  มีมนุษย์คนใดบ้างที่เข้าไปอยู่ในสุ่มที่ตัวเองสร้างขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น  เมื่อพระเจ้าสร้างกฎควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  พระเจ้าจึงต้องอยู่เหนือกฎ  ไม่ใช่ไปอยู่ใต้กฎที่พระองค์สร้างขึ้นเอง   การอยู่เหนือกฎนี้เองที่ทำให้พระเจ้าสามารถทำสิ่งที่เหนือกฎธรรมชาติและเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้  ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่มนุษย์ทำไม่ได้นี้เองที่ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์” 

ปาฏิหาริย์จึงเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่บางครั้งพระองค์เข้ามาแทรกแซงและแสดงให้มนุษย์ได้เห็นอำนาจของพระองค์  ไฟที่โดยธรรมชาติจะเผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นผุยผง  แต่เมื่ออับราฮัมถูกจับเผาไฟทั้งเป็น  พระเจ้าได้สั่งให้ไฟเย็นลง  ไฟก็ไม่ทำอันตรายอับราฮัมและอับราฮัมรอดชีวิตมาเป็นบรรพบุรุษแห่งความศรัทธาของชาวยิว ชาวคริสเตียนและมุสลิม

ทะเลจะแหวกจนเห็นสันทรายต่อเมื่อน้ำทะเลลดลงตามเวลา  ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้น้ำทะเลลดลงได้ตามที่ตัวเองต้องการ  แต่เมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซงด้วยการสั่งให้โมเสสใช้ไม้เท้าฟาดลงไปที่น้ำทะเล  น้ำทะเลก็แหวกเป็นทางเดินให้พวกลูกหลานอิสราเอลเดินข้ามทะเลไปโดยที่น้ำทะเลไม่ได้ลด  แต่กลับก่อตัวสูงขึ้นเป็นกำแพงสองข้างทางเดินเสียด้วยซ้ำ

มารีย์สาวพรหมจรรย์ได้รับการแจ้งจากทูตสวรรค์ว่าเธอจะให้กำเนิดบุตรชาย  เธอตกใจเพราะเธอไม่เคยมีชายใดแตะต้องตัวมาก่อน  การมีบุตรจึงเป็นการผิดธรรมชาติ  แต่เมื่อทูตสวรรค์บอกให้เธอทราบว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว  อะไรก็เกิดขึ้นได้  เพียงแค่พระองค์บอกว่า “จงเป็น”  สิ่งที่พระองค์ประสงค์จะเกิดขึ้นมา

การแทรกแซงของพระเจ้าในรูปปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลากรของพระองค์นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป  แต่การแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในอดีต  เมฆดำทะมึนก้อนใหญ่เคยลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือชุมชนชาวอ๊าดในทะเลทรายอาหรับ  ชาวอ๊าดผู้โอหังคิดว่าเมฆดำก้อนนั้นจะนำมาฝนมา  แต่พวกเขาคิดผิด  เพราะเมฆก้อนนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงพายุที่พัดกระหน่ำนานแปดวันเจ็ดคืนทำลายชนชาติอ๊าดจนจมหายไปในทะเลทราย

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Divine intervention

Banjong Bingasan

After the Renaissance, scientific advancements allowed humans to discover laws that control natural phenomena, enabling them to explain or calculate the time when they would occur accurately, such as tides, solar or lunar eclipses.

However, scientific advancements that severed the relationship between humans and God, which was the origin of secularism, led humans who believed in this doctrine to not only reject God, but also try to find ways to explain God under the natural laws they discovered.

When asked, “What is nature?”, secularists gave ambiguous answers. Some said that everything that appears in nature was created by itself. However, this explanation contradicts science, which holds that everything that occurs must have a cause. If the cause is not seen, secularists would quickly conclude that there is no cause. Who would dare say while they were alive that they did not have a soul because they could not see a soul?

The teachings of the world’s major religions that existed before science unanimously stated that everything in nature was created by God and everything was subject to the laws that God had set to control it to proceed according to His will. Nature and the phenomena that occur in nature are therefore evidence of God's power as the creator and controller.

This means that God created billions of stars in the universe and programmed them to follow a predetermined program, no different from pre-programming hundreds of drones to fly and transform letters in the air.

When humans create a cage to house chickens, are there any humans who enter the cage that they created? Similarly, when God creates rules to control everything, God must be above the rules, not under the rules that he created himself. Being above the rules allows God to do things that are above the laws of nature and beyond the ability of humans to do. These supernatural phenomena that humans cannot do are called "miracles".

A miracle is therefore God's supernatural power that sometimes He intervenes and shows humans His power. Fire, which by nature burns everything to dust, but when Abraham was caught and burned alive, God ordered the fire to cool down. The fire did not harm Abraham and Abraham survived as the ancestor of the faith of Jews, Christians and Muslims.

The sea will part until the sandbar is visible only when the sea level recedes over time. No human can make the sea level recede as he wishes. But when God intervened by ordering Moses to strike the sea with his staff, the sea opened up a path for the children of Israel to cross without receding, but instead formed a wall on both sides of the path.

The virgin Mary was informed by an angel that she would give birth to a son. She was shocked because no man had ever touched her before, so having a child was unnatural. But when the angel told her that if it was God's will, anything could happen. He just said, "Be." Whatever He wanted to happen would happen.

The miraculous interventions of God with His people ended when they happened, but the manifestations of His supernatural power continued. In the past, a large dark cloud floated in the sky over the community of Aad in the Arabian desert. The arrogant Aad thought that the dark cloud would bring rain, but they were wrong. The cloud was a warning sign of a storm that would rage for eight days and seven nights, destroying the Aad people and drowning them in the desert.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason