กาซา ไม่ใช่มาซาดา

บรรจง บินกาซัน

มาซาดา(Masada)เป็นชื่อป้อมปราการแห่งหนึ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์ทางตอนใต้ของประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน  ป้อมปราการแห่งนี้สร้างโดยเฮโรดกษัตริย์ชาวยิวที่ปกครองเยรูซาเล็มก่อนหน้าคริสตกาลประมาณสามสิบปี

เดิมที  ชาวยิวก็คือพวกลูกหลานอิสราเอลที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว แต่หลังจากสมัยของโมเสส คนกลุ่มนี้ได้หันไปนับถือศาสนายูดายที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  เมื่ออาณาจักรโรมันที่ผู้คนกราบไหว้บูชาเทพเจ้าต่างๆแผ่ขยายอำนาจมายังดินแดนแถบนี้   มีการกดขี่ข่มเหงเกิดขึ้นและด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน  ความขัดแย้งและการต่อต้านจึงเกิดขึ้นจนกลายเป็นการทำสงครามกันในที่สุด

ในเวลานั้น  อาณาจักรโรมันเป็นมหาอำนาจของโลกและมีแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร ส่วนชาวยิวเป็นชนกลุ่มน้อย  จึงพ่ายแพ้ในที่สุด   การพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรโรมันทำให้ชาวยิวต้องหนีกระจัดกระจายกันไปหลบภัยในส่วนต่างๆ  ยิวส่วนหนึ่งหนีไปหลบภัยอยู่ในป้อมมาซาดาบนภูเขาเล็กๆที่ทางขึ้นชัน มากจนไม่มีสัตว์พาหนะใดๆสามารถขึ้นไปได้

โยเซฟัส นักประวัติศาสตร์ชาวยิว-โรมันและเป็นผู้นำทางทหารได้บันทึกไว้ว่ามาซาดาเป็นป้อมปราการสุดท้ายของชาวยิวในการต่อต้านกองทัพโรมัน  มีชาวยิวทั้งผู้ชายและผู้หญิงรวมทั้งเด็กประมาณ 960 คนขึ้นไปหลบอยู่ที่นั่น

ประมาณ ค.ศ.72 หลังทำลายกรุงเยรูซาเล็มและวิหารหลังที่สองแล้ว  กองทัพโรมันได้เข้ามาปิดล้อมป้อมปราการมาซาดาทุกด้าน  แต่ทหารโรมันไม่สามารถขึ้นไปได้ จึงต้องใช้ทหารจำนวนนับหมื่นคนนำหินมาสร้างทางลาดขึ้นไป

แต่เมื่อเข้าไปในป้อมปราการได้  ทหารโรมันได้พบว่าชาวยิวที่หลบภัยอยู่ในป้อมปราการมาซาดาทั้งหมดได้ฆ่าตัวตายเพื่อแสดงถึงการไม่ยอมจำนนต่ออาณาจักรโรมัน  เหตุการณ์นี้เป็นตำนานที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ปลุกใจชาวยิวและนำมาฉายในวันชาติอิสราเอล

เมื่อรัฐอิสราเอลถูกก่อตั้งขึ้นมาในปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1948 โดยการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและยุโรป  อิสราเอลและชาติมหาอำนาจผู้หนุนหลังกลับมีพฤติกรรมเหมือนอาณาจักรโรมันที่กระทำกับพวกตนในอดีต  นับตั้งแต่ขึ้นมาบนแผ่นดินปาเลสไตน์  หน่วยปฏิบัติการรุนแรงได้ขับไล่  ทำลายบ้านเรือน  ยึดดินแดนและเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ผู้เป็นเจ้าของดินแดนเพื่อหวังใช้ปาเลสไตน์เป็นบันไดขั้นแรกในการยึดดินแดนตะวันออกกลางตามแผนการที่มหาอำนาจได้วางไว้

การรุกราน การเข่นฆ่าและยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา 70 กว่าปีจนชาวปาเลสไตน์เหลือดินแดนของตัวเองอยู่ในฉนวนกาซาเป็นที่มั่นสุดท้าย  

เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกลิดรอนสิทธิอย่างไม่เป็นธรรมและชาติเพื่อนบ้านนิ่งเฉย  ชาวปาเลสไตน์รู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ผู้รุกรานกระทำฝ่ายเดียว  อนาคตคงมืดมน  ไม่สู้ก็ตายหรือไม่ก็ไร้แผ่นดิน   ดังนั้น  การตัดสินใจสู้เพื่อให้โลกรู้และฝ่ายรุกรานล้มตายบ้างจึงเริ่มขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566 

แม้จะเสียเปรียบทุกด้านในการต่อต้านผู้รุกราน  แต่นักรบปาเลสไตน์ไม่มีวันฆ่าตัวตายเหมือนชาวยิวในป้อมปราการมาซาดา  เพราะการฆ่าตัวตายกับการตายในการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและความศรัทธานั้น อนาคตหลังความตายต่างกันแบบฟ้ากับเหว

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason


| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Gaza, not Masada

Banjong Bin Ghazan

Masada is the name of a fortress built in the Palestinian territory in the south of present-day Israel. The fortress was built by Herod, a Jewish king who ruled Jerusalem about thirty years before Christ.

Originally, the Jews were the children of Israel who believed in one God. However, after the time of Moses, this group of people converted to the newly created religion of Judaism. When the Roman Empire, where people worshipped various gods, expanded its power to this area, there was oppression and, due to different beliefs, conflict and resistance, which eventually led to war.

At that time, the Roman Empire was the world's superpower and had a great military power. The Jews were a minority, so they were eventually defeated. The defeat by the Roman Empire caused the Jews to flee and seek refuge in various places. Some of the Jews fled to seek refuge in the Masada fortress on a small mountain with a steep path that no animals could climb.

Josephus, a Jewish-Roman historian and military leader, recorded that Masada was the last Jewish fortress to resist the Roman army. There were about 960 Jewish men, women and children who took refuge there.

In about 72 AD, after the destruction of Jerusalem and the Second Temple, the Roman army surrounded the Masada fortress on all sides, but the Roman soldiers could not get up. They had to use tens of thousands of soldiers to bring stones to build a ramp to get up.

When they entered the fortress, the Roman soldiers found that all the Jews who were taking refuge in the Masada fortress committed suicide to show their refusal to surrender to the Roman Empire. This event is a legend that has been made into a Jewish slogan film and shown on Israeli National Day.

When the State of Israel was established in Palestine in 1948 with support from the United States and European powers, Israel and the powers that supported it behaved like the Roman Empire did to them in the past. Since coming to Palestine, violent forces have driven out, destroyed homes, seized land and slaughtered the Palestinians who owned the land in order to use Palestine as the first step in seizing the Middle East according to the plan set by the superpowers.

The invasion, killing and occupation of Palestine continued for more than 70 years until the Palestinians were left with their own land in the Gaza Strip as their last stronghold.

Knowing that their rights were unfairly deprived and their neighbors were indifferent, the Palestinians knew that if they let the invaders act unilaterally, the future would be bleak. If they didn’t fight, they would die or be without a land. Therefore, the decision to fight to let the world know and for the invaders to die began on October 7, 2023.

Despite being at a disadvantage in every aspect in resisting the invaders, the Palestinian fighters would never commit suicide like the Jews in the Masada fortress. Because suicide and dying in the fight to protect the land and faith, the future after death is as different as heaven and earth.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason