หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนจากแบกแดด

บทเรียนจากแบกแดด



บรรจง บินกาซัน
แบกแดดเมืองหลวงของอิรัก มีเรื่องราวที่สามารถเป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับหลายประเทศในปัจจุบัน ครั้งหนึ่ง แบกแดดเป็นเมืองที่มีความเจริญมากที่สุดในโลก ความสำเร็จของแบกแดดในเวลานั้นไม่มีชาติใดในโลกสามารถมาเปรียบเทียบได้ แต่ความหายนะที่แบกแดดได้รับ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเช่นกัน


ความหายนะของแบกแดดเริ่มขึ้นใน ค.ศ.1218 เมื่อเจงกิสข่าน นำกองทัพคนเถื่อนชาวมองโกลยาตราเข้ามารุกรานและทำลายเมืองต่างๆในเอเซียกลางและอาณาจักรเปอร์เซียจนราบเป็นหน้ากลอง เจงกิสข่านไม่ได้เข้าโจมตีแบกแดด แต่เขาได้ปูทางการรุกรานไว้ให้ฮูลากูข่านหลานชายของเขาในเวลาต่อมา
ใน ค.ศ.1258 ฮูลากู ข่าน ได้นำทัพเข้ามาทำลายแบกแดดโดยฆ่าประชาชนในเมืองไปถึง 1.6 ล้านคน และทำลายสัญลักษณ์ต่างๆแห่งความรุ่งโรจน์ของเมืองอันยิ่งใหญ่นี้ลงอย่างไม่มีอะไรหลงเหลือ คนพวกนี้เข้ามารุกราน ปล้นสดมภ์ ทำลาย เผา ฆ่า แล้วก็จากไป

ใน ค.ศ.1990 แผ่นดินและผู้คนของแบกแดดได้ถูกโจมตีอีกครั้งหนึ่งโดยพวกมองโกลยุคใหม่จากยุโรปและอเมริกา ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกโด่งผิดไปจากพวกมองโกลในอดีต คนพวกนี้โจมตีโรงพยาบาล โรงงานผลิตยา อ่างเก็บน้ำ โกดังอาหาร โรงงาน โรงผลิตไฟฟ้า โรงเรียน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านเรือนและตลาด นอกจากนั้นแล้ว คนเถื่อนยุคใหม่พวกนี้ยังปิดล้อมประเทศอิรัก โดยไม่ยอมให้อาหารถึงมือคนที่หิวโหยและไม่ยอมให้ยาถึงคนป่วย พวกเขาตัดสินให้ทุกคนในประเทศตายด้วยความเจ็บปวดอย่างช้าๆ

ท่ามกลางผู้คนที่ล้มตายทั่วประเทศ และการทำลายล้างจากน้ำมือของผู้รุกราน เมื่อ 8 ศตวรรษก่อนนั้น มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่สองอย่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

เจงกิสข่านถูกยั่วยุโดยความโง่เขลาของควาริซม์ชาห์ที่ฆ่าพ่อค้าชาวมองโกล 400 คนด้วยความระแวงว่าพ่อค้าเหล่านี้คือสายลับ ส่วนผู้รุกรานใน ค.ศ.1991 มิได้ถูกยั่วยุ แต่ถูกเย้ายวนด้วยทรัพยากรน้ำมัน
ฮูลากูข่านได้ยินว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีถ้าหากเลือดของผู้นำมุสลิมจะหยดลงบนพื้นดิน ดังนั้น เขาจึงไม่ฆ่าเคาะลีฟะฮฺด้วยดาบ แต่ได้จับเคาะลีฟะฮฺยัดใส่กระสอบและทุบจนตาย หลังจากนั้นก็ให้ม้าเข้าเหยียบย่ำเขา

ส่วนผู้รุกรานใน ค.ศ.1998 ได้ยินว่าการโจมตีอิรักในเดือนเราะมะฎอนเป็นเรื่องไม่ดี ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต้นความเหี้ยมโหดสามวันก่อนหน้าเดือนเราะมะฎอน นี่เป็นการแสดงความรู้สึกอย่างเดียวกับฮูลากูข่าน
ในเวลานั้น ฮูลากูมีแค่เพียงอาวุธที่ใช้ห้ำหั่นกันตัวต่อตัว ส่วนผู้รุกรานใน ค.ศ.1990 ไม่เพียงแต่มีอาวุธทำลายล้างสูงเท่านั้น แต่ยังมีอาวุธหลอกลวงมวลชนอีกด้วย เครื่องมือเหล่านี้อยู่ในรูปของสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง เช่น ซีเอ็นเอ็น บีบีซี รอยเตอร์และอื่นๆ

ฮูลากูไม่มีสิ่งเหล่านี้ นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมฮูลากูจึงไม่เคยออกมาร้องคำว่า “สันติภาพบนโลก” ขณะที่กำลังสังหารหมู่ และเขาไม่เสแสร้งแกล้งทำว่าเขากำลังยึดถือ “กฎหมายระหว่างประเทศ” เขาไม่ประกาศว่าเขา “ไม่ได้ทะเลาะกับประชาชน” ขณะที่กำลังฆ่าประชาชน เขาไม่ได้ประกาศว่าเขา “เคารพอิสลาม” ขณะที่เขาเผามัสญิดและโรงเรียน เพราะเขาเป็นคนป่าเถื่อนที่โกหกไม่เป็น

เจงกิส ข่าน และฮูลากู ข่าน ยังปกครองโลกอยู่ในปัจจุบัน แต่การอวตารกลับมาใหม่ของพวกเขาในรูปของผู้นำชาติที่รุกรานชาติอื่นนั้นดูช่างมีอารยธรรมเสียเหลือเกิน เพราะพวกเขาได้สร้างภาพการรุกรานของพวกเขาให้ดูดีมีเหตุผล นี่คือความจริงที่ไม่มีอะไรเคลือบแฝงไว้เกี่ยวกับโลกที่เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
การรุกรานของพวกมองโกลอาจเป็นแค่เพียงความบังเอิญที่เกิดขึ้น เพราะความโง่เขลาของควาริซม์ชาห์ แต่สาเหตุที่ทำให้แบกแดดต้องถูกทำลายก็คือความอ่อนแอภายในที่เกิดจากการต่อสู้กันเอง และความรักในทรัพย์สินของบรรดาผู้ปกครองชาติผู้ถูกรุกราน

ควาริซม์ ชาห์ ใช้เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ของเขาไปในการต่อสู้กับพวกเฆารี และผู้ปกครองมุสลิมในประเทศเพื่อนบ้าน ลูกชายของสุลต่านเศาะลาฮุดดีนก็ต่อสู้กันเอง ผู้ปกครองเมืองมักก๊ะฮฺและมะดีนะฮก็ยุ่งอยู่กับการทำสงครามระหว่างกัน และอัลกอมีย์ผู้เป็นเสนาบดีของมุสตะซิมเคาะลีฟะฮฺคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮฺก็วางแผนบ่อนทำลายเคาะลีฟะฮฺ แต่ตัวเขาเองก็ถูกฮูลากู ข่านสังหารในเวลาต่อมา
ความรักในทรัพย์สินและความสุขทางโลกก็เป็นสาเหตุของความอ่อนแอ เพราะทุกคนมัวแต่สาละวนอยู่กับมาตรฐานชีวิตของตน การฉ้อราษฎร์บังหลวงจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้คนได้รับเสียงดนตรีและความบันเทิงต่างๆ รวมทั้งการบริโภคสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและไร้สาระ เคาะลีฟะมุสตะซิมเองก็สนใจอยู่กับการล่าสัตว์และความบันเทิงมากกว่ากิจการของรัฐ

ในระหว่างที่ถูกพวกมองโกลรุกราน มีคำบอกเล่าว่าผู้ปกครองเมืองโมซุลได้รับการร้องขอสองอย่างในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เคาะลีฟะฮฺมุสตะซิมได้ขอให้เขาส่งเครื่องดนตรีและนักร้องมาให้ ส่วนฮูลากู ข่าน ได้ขอให้เขาส่งปืนใหญ่และอาวุธที่ใช้ในการทำลายปราสาทมา และในเวลานั้น ผู้นำศาสนาบางคนกำลังถกเถียงกันว่าใครเหนือกว่ากันระหว่าง อะลีกับ มุอาวียะฮฺ

หลังจากยึดแบกแดดได้แล้ว ฮูลากู ข่าน ก็ยาตราทัพมุ่งหน้าสู่ซีเรียและอาฟริกา ไม่ว่าเขาจะย่างก้าวไปที่ไหน ทุกคนที่ขวางหน้าเขาต้องถูกทำลายลงจนดูเหมือนว่าไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาขวางเขาได้


ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น