หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของอิบรอฮีม

จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของอิบรอฮีม


บรรจง บินกาซัน

อิบรอฮีมหรืออับราฮัมเป็นบรรพบุรุษทางจิตวิญญาณของชาวยิว ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิม ยิ่งสำหรับชาวอาหรับและลูกหลานอิสราเอลด้วยแล้วไม่มีใครไม่รู้จักอิบรอฮีมเพราะชื่อของอิบรอฮีมปรากฏอยู่ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน


อิบรอฮีมเกิดเมื่อประมาณสี่พันปีที่แล้วในเมืองอูร์ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอิรัก คัมภีร์กุรอานเล่าว่าพ่อของเขาชื่ออาซัรฺมีอาชีพแกะสลักเทวรูปขายให้คนไปเคารพบูชา ในตอนเป็นเด็ก เขาเคยปีนขึ้นไปขี่คอเทวรูปที่ยังแกะสลักไม่เสร็จตามประสาเด็ก เมื่อโตขึ้นพอมีสติปัญญา อิบรอฮีมก็สงสัยว่าทำไมผู้คนจึงซื้อหินที่พ่อของเขาแกะสลักไปเคารพกราบไหว้โดยเชื่อว่าหินแกะสลักนั้นเป็นพระเจ้า

คืนหนึ่ง ขณะอิบรอฮีมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เดียรดาษไปด้วยดวงดาวสุดคณานับ เขาเห็นการสับเปลี่ยนกันของกลางคืนและกลางวันจากการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพียงเท่านั้น เขาก็สามารถสรุปได้ด้วยสติปัญญาวัยรุ่นของเขาว่าพระเจ้าที่แท้จริงต้องมิใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ต้องเป็นผู้สร้างและผู้ควบคุมทุกสิ่งในท้องฟ้า เขาพยายามบอกผู้คน แต่ผู้คนกลับไม่เชื่อ ดังนั้น เขาจึงต้องการพิสูจน์ความจริงให้ผู้คนในเมืองได้เห็นกับตา

วันหนึ่ง เมื่อผู้คนออกไปฉลองเทศกาลนอกเมือง อิบรอฮีมได้แอบเข้าไปในสถานที่ตั้งเทวรูปที่ผู้คนกราบไหว้ เขาใช้ขวานทุบเทวรูปเล็กๆที่ตั้งเรียงรายอยู่และนำขวานไปแขวนไว้ที่แขนข้างหนึ่งของเทวรูปองค์ใหญ่ที่สุด

เมื่อผู้คนกลับมาเห็นเทวรูปถูกทำลาย ทุกคนตกใจและสรุปว่าเป็นฝีมือของอิบรอฮีม ดังนั้น อิบรอฮีมจึงถูกจับตัวมาเพื่อไต่สวน เมื่อ อิบรอฮีมบอกว่าเทวรูปองค์ใหญ่เป็นผู้ลงมือทำเพราะมีขวานที่มือเป็นหลักฐาน แต่ผู้คนแย้งว่าเทวรูปองค์ใหญ่พูดไม่ได้และทำอะไรไม่ได้ อิบรอฮีมจึงสบโอกาสบอกผู้คนว่าในเมื่อเทวรูปนั้นพูดและทำอะไรไม่ได้ เทวรูปจึงไม่ใช่พระเจ้าที่มนุษย์ต้องไปกราบไหว้ พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและจักรวาลต่างหากที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ

ความคิดและการกระทำของอิบรอฮีมทำให้เขาถูกนำตัวไปหากษัตริย์เพื่อการพิพากษาและเขาถูกตัดสินประหารด้วยการเผาทั้งเป็น แต่พระเจ้าได้ช่วยเขาให้รอดพ้นจากกองไฟโดยผู้คนไม่รู้และเขาได้หนีออกจากเมืองพร้อมกับซาเราะฮฺภรรยาของเขาและลูฏผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง

ตลอดทางที่รอนแรมจากเมืองอูร์ไปยังแผ่นดินคะนาอันทางตอนเหนือ อิบรอฮีมวิงวอนต่อพระเจ้าให้ประทานบุตรแก่เขาเพื่อสืบสานความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวต่อจากเขาหากเขาต้องจากโลกนี้ไป แม้จะเดินทางไปถึงแผ่นดินคะนาอันแล้ว พระเจ้าก็ยังไม่ประทานบุตรแก่เขา
จากแผ่นดินคะนาอัน อิบรอฮีมยังคงเดินทางรอนแรมต่อไปจนกระทั่งถึงอียิปต์ ที่นั่น เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวพื้นเมืองคนหนึ่งชื่อฮาญัรฺหรือฮาการ์ และที่อียิปต์นี้เองที่พระเจ้าได้ประทานบุตรหัวปีแก่เขาคนหนึ่ง เขาจึงตั้งชื่อให้ว่า “อิสมาอีล” ซึ่งแปลว่าพระเจ้าได้ยิน
ในเวลานั้น ความเชื่อของผู้คนในสังคมอียิปต์ก็เหมือนกับในสังคมเมืองอูร์บ้านเกิดเมืองนอนของเขา อิบรอฮีมมองการณ์ไกลว่าหากวันข้างหน้าเขาจากโลกนี้ไปและอิสมาอีลบุตรชายของเขาต้องเติบโตในสังคมที่ผู้คนกราบไหว้ดวงอาทิตย์และดวงดาว เชื่อถือโชคลางไสยศาสตร์ สภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีผลทำให้จิตใจของอิสมาอีลลูกน้อยของเขาเปรอะเปื้อนอย่างแน่นอน เขาจึงต้องการหาสภาพแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ์สำหรับจิตวิญญาณของลูกชายของเขา

ในที่สุด เขาจึงตัดสินใจพานางฮาญัรฺและอิสมาอีลลูกน้อยของเขาออกเดินทางรอนแรมจากอียิปต์เข้ามายังทะเลทรายอาหรับอันทุรกันดารจนมาถึงหุบเขาบักก๊ะฮฺที่ไร้ผู้คน เขาทิ้งภรรยาและลูกของเขาไว้ที่นั่นด้วยความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะปกป้องคุ้มครองและดูแลครอบครัวของเขาให้ปลอดภัย หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปยังอียิปต์

หลายปีผ่านไป อิบรอฮีมกลับมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่หุบเขาบักก๊ะฮฺอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อิสมาอีลโตเป็นหนุ่มแล้ว หุบเขาบักก๊ะฮฺที่เคยวังเวงไร้ผู้คนได้กลายเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานที่ได้รับอานิสงส์จากบ่อน้ำซัมซัม บ่อน้ำแห่งนี้พระเจ้าทรงเนรมิตให้ผุดขึ้นมาหล่อเลี้ยงชีวิตภรรยาและลูกน้อยของเขาหลังจากที่เขาจากครอบครัวไป

ในการกลับมาครั้งนี้ พระเจ้าได้ทรงบัญชาอิบรอฮีมให้สร้างอาคารขึ้นมาหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่เคารพสักการะพระเจ้าที่ชาวอาหรับเรียกว่าอัลลอฮฺ อิบรอฮีมกับอิสมาอีลจึงสนองคำบัญชาของพระเจ้าด้วยการสร้างอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียกว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นมา เมื่อสร้างเสร็จ อิบรอฮีมได้วิงวอนต่อพระเจ้าว่า :-

“ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันได้ตั้งรกรากถิ่นฐานให้ลูกหลานของฉันบางคนในหุบเขาอันกันดารใกล้บ้านอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันทำสิ่งนี้ก็ด้วยหวังว่าพวกเขาจะได้ดำรงละหมาดที่นั่น ดังนั้น โปรดหันหัวใจของผู้คนไปยังพวกเขาและโปรดประทานผลไม้เป็นอาหารแก่พวกเขาด้วยเถิดเพื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้กตัญญู ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่เราซ่อนเร้นและเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดินนี้จะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้” (กุรอาน 14:37-38)

ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้บัญชาอิบรอฮีมให้ออกไปเรียกร้องเชิญชวนมนุษยชาติมาแสดงความเคารพสักการะพระองค์ยังสถานที่แห่งนี้

แม้เมื่อสี่พันปีก่อน ผู้คนในทะเลทรายมีเพียงน้อยนิด แต่เสียงเรียกร้องเชิญชวนของนบีอิบรอฮีมยังคงก้องกังวานอยู่ในวิญญาณของผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺ และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้จึงมีมุสลิมทั่วโลกตอบรับคำเชิญชวนของอิบรอฮีมไปแสดงความเคารพสักการะอัลลอฮฺที่นั่นทุกปีในพิธีฮัจญ์และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงวันสิ้นโลก



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น