หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สอนศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์


บรรจง บินกาซัน

ทุกศาสนาบนโลกใบนี้มีองค์ประกอบสำคัญอยู่สามส่วน นั่นคือ ความศรัทธาในสิ่งพ้นญาณวิสัย การปฏิบัติเพื่อยืนยันความศรัทธาและจริยธรรม หากใครศึกษาถึงแก่นธรรมของคำสอนจริงๆของทุกศาสนา เราจะพบว่าทุกศาสนามีคำสอนที่เป็นพื้นฐานร่วมกันให้มนุษย์ยืนอย่างสันติในการสร้างสรรค์ความเจริญแก่โลกใบนี้

ในเรื่องของความศรัทธาในสิ่งพ้นญาณวิสัยหรืออายตะนะไม่สามารถสัมผัสได้นั้น ทุกศาสนาสอนศาสนิกของตนให้ศรัทธาในพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์มองไม่เห็นและสั่งให้เคารพสักการะพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ศาสดาของทุกศาสนาไม่เคยสอนให้ศาสนิกกราบไหว้บูชาวัตถุ ในทางตรงข้าม กลับห้ามเสียด้วยซ้ำ


หลักศรัทธาในสิ่งพ้นญาณวิสัยอีกประการหนึ่งก็คือ ทุกศาสนาสอนให้ศาสนิกเชื่อว่าชีวิตหลังความตายคือความจริงและมีอยู่จริง แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่การมองไม่เห็นสิ่งใดมิได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีและสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นมีมากกว่าสิ่งที่มนุษย์มองเห็น ความศรัทธาในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นในรูปของคำว่า “นรกและสวรรค์” “วันพิพากษา” “การฟื้นคืนชีพหลังความตาย” เป็นต้น

ความเชื่อในหลักศรัทธาสองประการนี้มีส่วนสำคัญมากต่อการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะถ้ามนุษย์กลัวถูกลงโทษในโลกหน้า มนุษย์ก็ไม่กล้าทำบาปหรือทำชั่ว แต่ถ้ามนุษย์ไม่กลัวการลงโทษในโลกหน้า กฎหมายหลายฉบับและการลงโทษในโลกนี้ก็ไม่สามารถควบคุมมนุษย์ได้ เราเห็นตัวอย่างความจริงเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายในสังคมวัตถุนิยมที่ผู้คนคิดว่าหลังความตายแล้ว ในโลกหน้าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ในโลกนี้

ความเชื่อดังกล่าวมีความสำคัญต่อการสร้างคุณธรรมในจิตใจของเด็กพอๆกับการสอนเด็กให้รู้จักตัวเลขถ้าหากว่าประเทศใดหรือสังคมใดต้องการที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มาพัฒนาประเทศในอนาคต มันสำคัญยิ่งกว่าการมีแท็บเลตเสียอีก

หลายคนอาจมองว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงายล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับยุควิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ใครคิดเช่นนั้น ผมคิดว่าคิดผิดครับ คำสอนของศาสนาไม่ขัดกับกฎหรือคำสอนทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใดถ้าคำสอนทางศาสนานั้นเป็นของจริง เพราะกฎของศาสนามาจากพระเจ้าองค์เดียวกับที่สร้างกฎวิทยาศาสตร์ ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าใด การค้นพบและประดิษฐ์กรรมทางวิทยาศาสตร์ยิ่งยืนยันความจริงของคำสอนทางศาสนามากขึ้นเท่านั้น

ยุคก่อนหน้าอิสลามในคาบสมุทรอาหรับเป็นยุคที่ได้ชื่อว่ายุคแห่งความโง่เขลางมงายและหยาบช้าป่าเถื่อน ผู้คนประพฤติชั่วช้าเลวทรามเพราะเชื่อว่าความตายของมนุษย์ก็เหมือนกับความตายของสัตว์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในชีวิตหลังความตาย แม้คณะผู้เผยแผ่ศาสนาของชาวยิวและชาวคริสเตียนพยายามเชิญชวนคนเหล่านี้ให้มาสู่ความศรัทธาในพระเจ้าและการฟื้นคืนชีพโลกหน้า แต่ความพยายามของคณะผู้เผยแผ่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
แต่เมื่อท่านนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม แม้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ แต่ความรู้ที่ท่านได้รับจากพระเจ้าเพื่อนำมาสอนชาวอาหรับให้เชื่อในพระเจ้าและชีวิตหลังความตายทำให้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต้องทึ่ง ลองดูคำสอนจากคัมภีร์กุรอานต่อไปนี้ดูก็แล้วกัน

“ขอสาบานว่าเรา(พระเจ้า)ได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุของดิน แล้วเราได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิอยู่ในมดลูก แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด และทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ และทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้น อัลลอฮฺทรงจำเริญยิ่งและเป็นเลิศที่สุดในบรรดาผู้สร้าง หลังจากนั้น สูเจ้าต้องตาย แล้วสูเจ้าจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ” (กุรอาน 23:12-14)

ข้อความดังกล่าวในคัมภีร์กุรอานเพิ่งมีการพบว่าเป็นความจริงเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์เริ่มมีความเจริญก้าวหน้า แต่ข้อความดังกล่าวออกจากปากของท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว ท่านไม่ได้ต้องการสอนวิชาชีววิทยาให้ชาวอาหรับที่กักขฬะงมงายในเวลานั้น แต่ท่านต้องการที่จะบอกชาวอาหรับให้รู้ว่าโลกนี้ก็เปรียบเหมือนโลกในครรภ์ เมื่อโลกในครรภ์ที่มนุษย์มองไม่เห็นมิใช่โลกสุดท้ายฉันใด โลกนี้ก็ไม่ใช่โลกโลกสุดท้ายของมนุษย์ฉันนั้น และเมื่อพระเจ้ารู้ถึงความเป็นไปในครรภ์ของมนุษย์เช่นใด พระองค์ก็ย่อมรู้ถึงความเป็นไปของมนุษย์ในโลกนี้เช่นกัน ความตายจึงเป็นการคลอดของวิญญาณเพื่อออกไปสู่โลกหน้าเหมือนกับทารกที่คลอดออกมายังโลกนี้

นี่คือคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัดที่ทำให้ชนชาติอาหรับในยุคโง่เขลาหันมารับอิสลามและกลายเป็นชนชาติที่มีส่วนในการสร้างอารยธรรมให้แก่โลก เป็นคำสอนที่บอกให้รู้ว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่ได้ขัดแย้งกัน ในทางตรงข้ามกลับเสริมกันและกันในการสร้างความรู้ทางสติปัญญาและความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ

หากใครรู้วิทยาศาสตร์และไม่เข้าใจหรือเชื่อมั่นสัจธรรมดังกล่าวของศาสนา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นประโยชน์แก่ชีวิตสั้นๆของเขาในโลกนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น น่าเสียดายที่เรียนวิทยาศาสตร์ที่แสนยากกันได้ แต่ไม่เข้าใจศาสนาที่แสนง่าย



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Teaching religion with science


Banjong Binkason


All religions in this world have three important components: faith in the Unseen. Practices to Confirm Faith and Ethics If anyone studies the truth of the doctrine of all religions. We will find that all religions have common teachings for human beings to stand peacefully in this world's prosperity.

In the matter of faith, out of sight or out of touch can not touch it. All religions teach their own religion to believe in God, which is sacred to man, not to see and to worship God alone. Prophets of all religions have never taught the worship of objects in the opposite way.

Another faith is another thing. Every religion teaches belief that life after death is real and true. Even the eyes will not see. But seeing nothing does not mean that there is not, and what is not seen by man is greater than what man sees. Faith in this is reflected in the form of the word. "Hell and heaven," "judgment day," "resurrection after death," etc.

This belief in the two faiths is very important for determining human behavior. If man is afraid of being punished in the next world. Man does not dare to sin or do evil. But if man is not afraid of the punishment in the world. Many laws and punishments in the world can not control humanity. We see this truth easily in the materialistic society that people think after death. In the world itself is not responsible for what it has done in the world.

Such beliefs are important for the moral development of children as well as teaching children the numbers if any country or society wants to develop human resources for future development. It's more important than having a tablet.

Many people may view religion as ignorance. Not in line with current science. Who thinks so? I think that's wrong. The doctrines of religion do not conflict with any scientific discipline or doctrine. Because the laws of religion come from the same God that created the rules of science. How much science is progressing? The discovery and the scientific invention of religion only more substantiate the truth of the teachings.

The pre-Islamic period in the Arabian Peninsula was called the Age of Madness and the Barbaric Daredevil. People do evil deeds because they believe that human death is like the death of an unreliable animal in the afterlife. Although the missionaries of the Jews and Christians are trying to invite these people into the faith of God and the resurrection of the world. But the missionaries' efforts were unsuccessful.
But when Prophet Muhammad began to spread Islam. Even if you are called an illiterate. But the knowledge that you have received from God to teach the Arabs to believe in God and the afterlife makes modern scientists wonder. Take a look at the Quran's teachings.

"Let's swear that we (Gods) have created mankind from the elements of the earth. We have made him a sperm in the uterus. Then we made the semen become blood clot. And blood clotting. And the meat to bone. We bury the bone with the flesh. We have blown the spirits into a shape, so Allah is the Most Blessed and the Most Merciful of the Creator. You will be raised again on the Day of Resurrection. "(Quran 23: 12-14)

The text in the Quran has recently been found to be true when medical science began to flourish. At about 1,400 years ago, he did not want to teach biology to Arabs at the time. But you want to tell the Arabs that the world is like the world in the womb. When the world in the womb is not seen, not the last. This world is not the last human world. And when God knows what is in the womb? He knows the humanity of the world as well. Death is the birth of the soul to go to the next world like a baby born to the world.

This is the doctrine of the Prophet Muhammad, who made the Arabs in their ignorance turn to Islam and became a people who contributed to the creation of the world. It is a teaching that tells you that science and religion do not conflict. On the contrary, they complement each other in the creation of intellectual knowledge and spiritual confidence.

If anyone knows science and does not understand or assert the truth of such a religion. Scientific knowledge is only useful to his short life in this world. Unfortunately, studying hard science. But do not understand the simple religion.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น