หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน


บรรจง บินกาซัน

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยนบีมุฮัมมัดเพราะเห็นว่าลัทธิ นิกายและศาสนาอื่นๆมักจะใช้ชื่อศาสดาเป็นชื่อของลัทธิหรือศาสนานั้นๆ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ นักบูรพคดีชาวตะวันตกบางคนจึงพยายามเรียกอิสลามว่า “ศาสนามุฮัมมัด” (Mohammedanism) จะด้วยเจตนาอะไรแฝงเร้นหรือไม่เจตนาก็ตาม การเรียกชื่อเช่นนี้ทำให้คนเข้าใจว่านบีมุฮัมมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา


อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีหลักฐานตรงไหนในคัมภีร์กุรอานที่นบีมุฮัมมัดอ้างว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาของท่านขึ้นมาเอง หากแต่ท่านได้ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหลักธรรมคำสอนต่างๆที่ท่านนำมานั้นล้วนมาจากพระเจ้า(ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลลอฮฺ”) และหลักธรรมที่ท่านนำมาสอนนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากหลักธรรมคำสอนของศาสดาก่อนๆนำมาไม่ว่าจะเป็นนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) มูซา(โมเสส) หรือนบีอีซา(พระเยซู) เพราะนบีเหล่านี้นำหลักธรรมคำสอนมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของนบีเหล่านี้จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน แต่เนื่องจากคำสอนที่นบีเหล่านี้นำมาได้ถูกผู้คนหลงลืมไปและบันทึกคำสอนของนบีเหล่านั้นได้สูญหายหรือถูกทำลายหรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปตามกาลเวลาจนหลักคำสอนดั้งเดิมได้เลือนรางและสูญหายไป พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ส่งคัมภีร์กุรอานมาเป็นหลักฐานยืนยันคำสอนของนบีคนก่อนๆและเพื่อเป็นสิ่งแยกแยะว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จที่กุขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังได้แต่งตั้งให้นบีมุฮัมมัดเป็นผู้ให้คำอธิบายหลักธรรมคำสอนในคัมภีร์กุรอานทั้งโดยคำพูดและการปฏิบัติด้วย

สาระสำคัญของคำสอนที่นบีต่างๆนำมาก็คือพระเจ้ามีองค์เดียว และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้คือพระเจ้าที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะ เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม วิงวอน บนบานและอธิษฐาน ใครก็ตามที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งในสมัยของตน คนผู้นั้นก็เป็น “ผู้นอบน้อมยอมตนต่อพระเจ้า” ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มุสลิม”

ดังนั้น มุสลิมจึงมิใช่เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยของนบีมุฮัมมัด หากแต่มีมาตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์คนแรกแล้ว นั่นคืออาดัม หลังจากสมัยของอาดัม ลูกหลานของอาดัมได้หลงผิดหันไปยึดเจว็ดบูชาต่างๆมาเป็นพระเจ้าและเคารพสักการะสิ่งเหล่านั้นแทนพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์จึงได้ให้โนอาห์มาตักเตือนผู้คนเหล่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธและเย้ยหยันคำตักเตือนของท่าน ในที่สุด โนอาห์ก็ได้วิงวอนขอให้พระเจ้าลงโทษผู้ปฏิเสธพระองค์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการทำลายล้างผู้ปฏิเสธพระเจ้า เรื่องราวนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานด้วยรายละเอียดที่ต่างกัน

นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกลูกหลานอิสราเอลและชาวอาหรับได้ถูกพระผู้เป็นเจ้าสั่งว่า “จงนอบน้อมยอมตน” ท่านก็ตอบรับทันทีว่า “ฉันนอบน้อมยอมตนต่อพระองค์แล้ว”

ในทำนองเดียวกัน นบีอิบรอฮีมก็สั่งสอนลูกๆให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับท่าน ยาโกบ(หรือยะกู๊บผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล)หลานของนบีอิบรฮีมก็ได้สั่งลูกๆของตนว่า “ลูกๆเอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”

เมื่อตอนที่ยะกู๊บจะเสียชีวิต ท่านได้ถามลูกๆว่า “หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด ?” ลูกๆของท่านกล่าวว่า “เราจะเคารพภักดีพระเจ้าที่พ่อและบรรพบุรุษของพ่อ นั่นคืออิบรอฮีม อิสมาอีล(อิชมาเอล)และอิสฮาก(อิสอัค)ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเราเป็นมุสลิม” (กุรอาน 2:131-133)

คัมภีร์กุรอานยืนยันว่านบีอิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ท่านเป็นมุสลิม เพราะชาวยิวนับถือคัมภีร์โตราห์และชาวคริสเตียนนับถือคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มาทีหลังสมัยของนบีอิบรอฮีมหลายร้อยปี (กุรอาน 3:67)

ยูซุฟหรือโยเซฟลูกชายคนหนึ่งของยะกู๊บก็วิงวอนต่อพระเจ้าว่า “ขอได้โปรดให้ฉันตายในฐานะเป็นมุสลิมและได้โปรดรวมฉันไว้กับผู้มีคุณธรรมความดีที่สุดด้วยเถิด” (กุรอาน 12:101)

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบคำสอนบางอย่างที่คล้ายกันในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เช่น
นบีมุฮัมมัดสั่งผู้ชายมุสลิมให้เข้าสุนัต(ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญรอยตามนบีคนก่อนๆ คัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งเรื่องนี้ไว้เช่นกัน“นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุนัต เจ้าจงเข้าสุนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า” (ปฐมกาล 17:10-11)

ทั้งยอห์นแบพติสต์และพระเยซูก็เข้าสุนัต (ลูกา 1:59 และ 2:21)

คัมภีร์กุรอานห้ามเรื่องดอกเบี้ย ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งห้ามเช่นกันดังนี้
“อย่าเอาดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มอะไรจากเขา แต่จงยำเกรงพระเจ้าเพื่อว่าพี่น้องเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าได้ เจ้าอย่าให้เขายืมเงินด้วยคิดดอกเบี้ย” (เลวีนิติ 25:36-37)

คัมภีร์กุรอานประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างรุนแรงว่าเป็นความชั่วที่แม้แต่สัตว์เองก็ไม่ทำและยังได้เล่าเรื่องราวที่พระเจ้าลงโทษชาวเมืองโซดอมด้วยการทำลายเมืองนี้จนจมธรณีไปเพราะสาเหตุที่ชาวเมืองนี้ชอบมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ คัมภีร์ไบเบิลก็เล่าเรื่องราวดังกล่าวนี้ไว้เช่นกัน
“แล้วพระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเจ้าตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงขยี้เมืองเหล่านั้น ลุ่มน้ำทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชต่างๆ” (ปฐมกาล 19:24-25)

แต่ทว่าในปัจจุบัน ชาติคริสเตียนบางชาติในยุโรปและรัฐบางรัฐในสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้มีการแต่งงานกันในเพศเดียวกัน
คัมภีร์กุรอานสั่งห้ามการบูชาสักการะเจว็ดรูปปั้นต่างๆ คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามเช่นกัน

“อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่อยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 20:4-5)

“พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ ไอ้ซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว…” (มัทธิว 4:10)

นบีมุฮัมมัดสอนให้มุสลิมทักทายกันด้วยคำว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า : พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ตรงกับภาษาอาหรับว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ยอห์น 20:26)

การกินเนื้อหมูไม่เพียงแต่จะถูกสั่งห้ามในคัมภีร์กุรอานเท่านั้น แม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามด้วย
“….หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลยและเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นมลทินแก่เจ้า” (เลวีนิติ 11:7-8)

นบีมุฮัมมัดถือศีลอดตามคำสั่งของพระเจ้า พระเยซูก็ถือศีลอดเช่นกัน
“และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร” (มัทธิว 4:2)

จะเห็นได้ว่าหลักความเชื่อและคำสอนหลักๆของพระเจ้าที่ศาสดาทั้งหลายนำมานั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของศาสนาจึงมิใช่ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์แตกแยกหรือขัดแย้งกัน การออกจากหลักธรรมคำสอนของศาสนาต่างหากที่ทำให้มนุษย์แตกต่าง แตกแยกและขัดแย้งกัน



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Hundreds of Prophets It's the same religion.


Banjong Binkason


Most people often understand that Islam is a religion founded by Prophet Muhammad because it is a religion. Other religions and religions often use the name of the prophet as the name of the cult or religion. With this understanding. Some Westerners are trying to call Islam. "Mohammedanism" is intended to be deliberate or unintentional. This name allows people to understand that Prophet Muhammad was the founder of Islam.

However, such efforts were not effective. There is no evidence in the Quran that the Prophet Muhammad claimed that he was the founder of his religion. But you have repeatedly affirmed that the doctrines that you bring are from God (which in Arabic is called "Allah") and the principles that you are teaching are not. What is the difference between the teachings of the Prophets and the Prophets, whether they be Abraham, Abraham, Moses, or Jesus? The doctrine comes from the same God. The teachings of these prophets are not conflicting. But because these prophecies have been forgotten by people and recorded, their teachings have been lost or destroyed, or they have changed over time, until the original doctrines have dried up. And lost God has sent the Quran as proof of the prophecies of the Prophets and to distinguish what is false. In addition He also appointed the Prophet Muhammad to provide explanations of the doctrines of the Quran both by word and deed.

The essence of the teachings that the Prophets bring is that God is one. And this same God is a God who obeys, obeys, obeys, and prayes. Whoever believes in one God and obeys the teachings of God's Apostles in his day That person is. "Humble submission to God," which in Arabic is called "Muslim"

So Muslims are not just beginning to be in the time of Prophet Muhammad. But since the beginning of the world, there was Adam, after Adam's time. The offspring of Adam has strayed away from the gods and worshiped them as gods. So he made Noah warn them. But most people refuse and mock his warning. Finally, Noah pleaded with God to punish his rebellious. The floods of the world have come to an end. This story is mentioned in the Bible and the Quran with different details.

Prophet Ibrahim (Abraham), the great ancestor of the children of Israel and the Arabs, was said by God. "Be submissive," he answered immediately. "I surrender to Him."

Likewise Prophet Ibrahim instructs his children to follow the same path as you. Gobi (or Yagob, who was nicknamed Israel), the nephew of the Prophet Ibrahim, ordered his children, "Children, Allaah has chosen this way of life for you. Maintain a Muslim until you die. "

When will yoga lose? You asked the children. "After me What will you worship? " "We will worship God, the father and the father's father. That is Ibrahim. Ishmael (Ishmael) and Ishmael (Isaac) accept their gods and we are Muslims "(Quran 2: 131-133).

The Quran confirms that the Prophet Ibrahim was not a Jew and not a Christian. But you are a Muslim. Because the Jews respect the Torah and the Christian faithful to the Bible, which is the scripture that came after the reign of Babylon the Hundreds of years (Quran 3:67).

Yusuf, or Joseph, one of Jacob's sons, pleaded with God. "Please let me die as a Muslim, and please join me with the good and the good" (Quran 12: 101).

It is not uncommon for us to find some similar teachings in the Bible and the Quran.
Prophet Muhammad instructed Muslim men to enter the hadith (circumambulation of the penis) as a symbol of the followers of the Prophet. This is my covenant, which thou shalt keep between me and thee, and thy seed after thee. All men must enter the hadith. Enter into the sunnah of your lap; This is the sign of the covenant between us and you "(Genesis 17: 10-11).

Both John the Baptist and Jesus entered the Sunnah (Luke 1:59 and 2:21).

Quran prohibits interest In the Bible, there are also prohibitions.
Do not take any interest or money from him. But fear God, that your brethren may be near to you. Do not let them borrow money with interest. "(Leviticus 25: 36-37)

The Quran condemned violent homosexual behavior as an act of evil that even animals did not, and also told the story of God punishing the Sodom by destroying the city until it was sunk. Like homosexuality The Bible also tells the story.
"Then God made the sulfur and fire from God fall from heaven on Sodom and Gomorrah. And he crushed them. All watershed All the cities and all the plants "(Genesis 19: 24-25).

Nowadays Some Christian nationals in Europe and some states in the United States allow same-sex marriage.
The Quran forbids worship, sacrifice, worship, statues The Bible also banned it.

"Do not make yourselves a molten image, which is in the heavens above. Or on the earth below Or in the water under the earth. Do not worship or serve them. For I am your God. "(Exodus 20: 4-5)

"Then Jesus answered," Satan, go away! Because the Bible says that. Pay homage to the Lord your God and serve Him alone ... "(Matthew 4:10).



Prophet Muhammad taught that Muslims greet each other with the word. "Assumption" (Peace be upon you)

The Bible says: Jesus stood and stood in the midst of them, saying, "Peace be with you." "Assumption of laughter" (John 20:26).



Eating pork is not only forbidden in the Quran. Even the Bible is forbidden.

"... pigs, because they are ungodly, and cloven, but not ruffled. It is unclean to you. Do not eat the flesh of these animals, nor touch the remains of it. It is unclean to you "(Leviticus 11: 7-8).



Prophet Muhammad fasts at the command of God Jesus was fasting as well.

"And he fasted forty days and forty nights. Afterwards, he wants food "(Matthew 4: 2).



It is evident that the major beliefs and teachings of God given to the Prophets are similar. Because of the same God. The doctrine of religion is not a factor in divisiveness or conflict. Excerpt from the doctrines of religion that make people different. Dissociation and conflict

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น