หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ชีวิตและวิญญาณ



บรรจง บินกาซัน

คนเป็นต่างกับคนตายก็ตรงที่คนเป็นยังมีวิญญาณอยู่ในร่าง ส่วนคนตายนั้นหมายถึงคนที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว

วิญญาณเป็นสิ่งที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น แต่มนุษย์เชื่อว่าตราบใดที่วิญญาณยังอยู่ในร่าง ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงมีชีวิต



ทุกวันนี้ ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้ามากเพียงใด วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าวิญญาณคืออะไร ? วิญญาณมาจากไหน ? ใครสร้างวิญญาณ ? วิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างมนุษย์อย่างไรและตั้งแต่เมื่อใด ? วิญญาณมีความต้องการเหมือนกับร่างกายไหม ? วิญญาณออกไปจากร่างมนุษย์อย่างไร ? และอื่นๆอีกมากมาย

เหตุผลที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบเรื่องวิญญาณแก่มนุษย์ได้ก็เพราะว่าวิญญาณอยู่นอกอาณาจักรวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นอาณาจักรทางวัตถุ ในเรื่องของชีวิต อาณาจักรวิทยาศาสตร์เริ่มต้นแค่ตรงที่ตัวสเปิร์มและสิ้นสุดเขตแดนตรงลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าใครจะศึกษาเรื่องวิญญาณ ก็ต้องหันไปหาคำตอบจากศาสนาที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างวิญญาณ

เมื่อวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิต ถามว่าวิญญาณกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกันใช่ไหม ?

คำตอบคือ ไม่ใช่

ตัวสเปิร์มมีชีวิตก็จริงอยู่ แต่ตัวสเปิร์มยังไม่มีวิญญาณ เพราะตามคำจำกัดความทางวิทยาศาสตร์ สิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหว ต้องการอาหารและเจริญเติบโตได้เท่านั้น

ส่วนวิญญาณนั้นมีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเป็นตัวสเปิร์มเสียด้วยซ้ำ

คัมภีร์กุรอานบทที่ 7 วรรคที่ 172 ให้ข้อมูลว่าก่อนมนุษย์จะเกิดในโลกนี้ วิญญาณของมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้วในโลกแห่งวิญญาณ และก่อนที่ดวงวิญญาณจะถูกส่งมาอยู่ในร่างของมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างวิญญาณได้ให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นยืนยันกับพระองค์ก่อนว่าพระองค์คือพระเจ้าของพวกมัน และดวงวิญญาณทั้งหมดก็ยืนยัน

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ส่วนลึกของจิตใจมนุษย์จึงยังคงแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มันเชื่อมั่นว่ามีอำนาจคุ้มครองดูแลมันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ามนุษย์จะมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม แต่เป็นเพราะสายตามนุษย์ไม่เห็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเท่านั้น มนุษย์จึงตั้งสมมุติเทพขึ้นมาเพื่อสักการะและวิงวอนขอความช่วยเหลือจนลืมนึกถึงพระเจ้าที่แท้จริง

หลังจากนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดได้มาอธิบายเพิ่มเติมถึงการสร้างมนุษย์ในครรภ์เมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้วว่า

“วิธีการที่พวกท่านแต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาก็คือท่านได้ถูกรวมเข้าไว้ในรังไข่ของแม่ท่านเป็นเวลาสี่สิบวันในตอนที่เป็นหยดเชื้ออสุจิ หลังจากนั้น ในระยะเวลาเท่าๆกันก็เป็นก้อนเลือดและหลังจากนั้นก็เป็นก้อนเนื้อในเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้น ทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ)องค์หนึ่งก็จะถูกส่งมาเป่าวิญญาณเข้าไปในท่านและมีหน้าที่ทำตามคำบัญชาสี่ประการ นั่นคือ กำหนดปัจจัยยังชีพของท่าน ช่วงอายุของท่าน การกระทำของท่านและท่านจะทุกข์หรือสุข”

ในอีกคำบันทึกหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่ทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ)เกี่ยวกับเรื่องครรภ์ของผู้หญิง มลาอิก๊ะฮฺจะกล่าวว่า ‘โอ้ พระผู้อภิบาล หยดอสุจิ โอ้พระผู้อภิบาล ก้อนเลือด โอ้ พระผู้อภิบาลก้อนเนื้อ’ เมื่ออัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะทำให้การสร้างตัวอ่อนในครรภ์สมบูรณ์ มลาอิก๊ะฮฺจะกล่าวว่า ‘ โอ้พระผู้อภิบาล เพศชายหรือเพศหญิง ? ทุกข์หรือสุข ? ปัจจัยยังชีพแค่ไหน ? อายุยืนนานเท่าใด ?’ และทูตสวรรค์ก็จะลิขิตไว้สำหรับเขาในครรภ์มารดาของเขา”

จากคำพูดของท่านนบีมุฮัมมัดดังกล่าวข้างต้นทำให้มุสลิมรู้ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ในครรภ์มารดาก่อนที่วงการวิทยาศาสตร์จะมีกล้องจุลทรรศน์และเครื่องอุลตราซาวด์ว่าเมื่อสเปิร์มของฝ่ายชายไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงกลายเป็นก้อนเลือดและก้อนเนื้อก่อนโดยที่ยังไม่มีวิญญาณ แต่เมื่อครบเวลา 120 วัน วิญญาณ(รูฮฺ)ของมนุษย์ได้ถูกเป่าเข้าไปในก้อนเนื้อเพื่อให้เกิดตัวตน(นัฟสฺ)ของมนุษย์และวิวัฒนาการเติบโตในครรภ์เป็นเวลา 9 เดือนจึงคลอดออกมาเป็นทารก

เมื่อมีทารกใหม่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าดวงวิญญาณของมนุษย์ผู้หนึ่งได้เดินทางผ่านโลกแห่งครรภ์มารดาซึ่งเป็นโลกที่สองมาสู่โลกที่สามหรือโลกชั่วคราวใบนี้ ดังนั้น มุสลิมจะต้อนรับดวงวิญญาณใหม่ในร่างทารกน้อยด้วยการประกาศความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺเบาๆข้างหูทารกแรกเกิดเหมือนกับจะเตือนวิญญาณให้ระลึกถึงคำยืนยันที่ทำไว้กับพระเจ้าก่อนที่จะมายังโลกนี้ แม้ทารกจะยังไม่ได้ยินก็ตาม แต่วิญญาณของทารกนั้นได้ยิน

และเมื่อวาระแห่งความตายใกล้มาถึง ท่านนบีมุฮัมมัดได้สั่งมุสลิมให้เตือนวิญญาณที่กำลังจะออกจากร่างมนุษย์กล่าวยืนยันคำมั่นสัญญาเดิมที่มันเคยทำไว้กับพระเจ้าของมันอีกครั้งหนึ่งว่า “ลาอิลาฮะอิลัลลอฮฺ" (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) เพื่อเตือนให้ดวงวิญญาณนั้นได้รู้ว่ามันกำลังจะกลับไปสู่ผู้ที่ส่งมันมาแล้ว และชะตากรรมของมันในโลกหลังความตายขึ้นอยู่กับการกล่าวถ้อยคำนี้



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Life and soul


Banjong Binkason



People are different from the dead, they are the ones who are spiritually in the body. The dead are the ones that the spirit has left the body.

Spirit is what the human eye does not see. But human beings believe that as long as the spirit remains in the body As long as humans are still alive

Today, even if science is progressing. Science is still unable to answer what the spirit is. Where did the spirit come from? Who created the spirit? How did the soul come into the human body and when? Does the soul have the same need as the body? How did the spirit go out of human form? And more

The reason that science can not give spiritual answers to humans is because the spirit is outside the scientific realm, the material realm. In the story of life The science of science begins with the sperm and ends the boundary of the last breath of man. It must turn to the answer of religion from God, creator of the soul.

When Spirit is what keeps people alive. Ask that the soul and life are the same thing?

The answer is no.

The sperm is alive. But the sperm do not have souls. Because according to scientific definitions. Life is an animated thing. Need food and grow only.

The spirit is before the human sperm.

The Quran Chapter 7, paragraph 172, provides information that before mankind is born in this world. The human spirit was created before in the spirit world. And before the soul is sent in the human body. God who created the spirits gave those souls the assurance that He was their God. And all the souls confirm.

So it is not uncommon for the depths of the human mind to seek the sacred things that it believes have the power to take care of it all the time, no matter how powerful human beings are. This is because the human eye does not see the true divine power. Humans then set up gods to worship and plead for help, so they forget about the true God.

After that, Prophet Muhammad came to explain the creation of mankind in the womb about 1,400 years ago.

"The way in which each of you was made was that you were incorporated into your mother's ovary for forty days at the time of drops of semen. After that, an angel (one of the angels) is sent to blow the spirits into you and is obliged to follow the four commandments. Your age Your actions and your suffering or happiness. "

In another word record He said: "Allah has entrusted to the angels (angels) about the womb of a woman. The narrator will say: 'O Lord, who is dropping the seed, O blood of the lord, the lord of the flesh?' When Allah desires to make the fetus in the womb perfect. The angels say: 'O Lord, Male or female? Suffering or happiness? How much? How long does it last? 'And the angel will make a covenant for him in his mother's womb.

From the words of Prophet Muhammad mentioned above, Muslims know the evolution of human beings in the mother's womb before the science of microscopy and ultrasound, when the sperm of the man mixed with the eggs of the parties. The girl becomes a blood clot and a lump before she has no soul. But at the end of 120 days, human souls have been blown into the flesh for the nectar of mankind and evolved into fetal growth for nine months.

When new babies are born This means that a human soul travels through the world of motherhood, the second world, to the third world or temporal world. Thus, the Muslims will welcome the new spirit in the infantry by declaring their greatness. It is as if we are to remind the spirits to remember God's confirmation before coming to this world. Even the baby will not hear. But the spirit of the baby is heard.

And when the time of death is near. The Prophet Muhammad instructed the Muslims to warn the departing spirit of mankind, confirming the original promise that it once made to God. "There is no god but Allah, to remind the soul that it is going back to the one who sent it. And the fate of it in the afterlife depends on this statement.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น