บรรจง บินกาซัน
เรื่องราวของฟาโรห์กับโมเสสมีกล่าวไว้ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานเพื่อเป็นบทเรียนสอนมนุษย์ให้รู้จักสถานะของตัวเอง
ในแผ่นดินอียิปต์สมัยโบราณ ชาวอียิปต์เคารพกราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ แต่ฟาโรห์ในฐานะกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ถือว่าตัวเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ชาวอียิปต์ต้องเคารพสักการะและเชื่อฟัง โมเสสจึงได้รับภารกิจจากพระเจ้ามาบอกฟาโรห์ให้รู้ว่าเขาไม่ใช่พระเจ้าที่ผู้คนต้องกราบไหว้ แต่ตัวเขาเองแม้เป็นกษัตริย์ก็คือมนุษย์ที่ต้องเคารพสักการะพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
เมื่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ฟาโรห์จึงไม่เพียงแต่ไม่เชื่อเท่านั้น เขายังหัวเราะเยาะและออกคำสั่งเป็นเชิงเย้ยหยันให้ฮามานอำมาตย์ของเขาสร้างหอคอยขึ้นมาเพื่อที่เขาจะขึ้นไปพบพระเจ้าของโมเสส
ในที่สุด พระเจ้าก็ได้แสดงให้ฟาโรห์เห็นถึงอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์จากไม้เท้าของโมเสสที่ถูกโยนลงไปบนพื้นแล้วกลายเป็นงูต่อหน้าผู้คนซึ่งทำให้นักไสยศาสตร์ของอียิปต์เองยอมรับว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดจากไม้เท้าของโมเสสนั้นมิใช่ไสยศาสตร์และหันมาศรัทธาในพระเจ้า
หลังจากนั้น ปาฏิหาริย์จากพระเจ้าได้เกิดขึ้นหลายครั้งต่อหน้าฟาโรห์โดยการวอนขอต่อพระเจ้าของโมเสส แต่เมื่อฟาโรห์ยังคงดึงดันปฏิเสธอำนาจของพระเจ้า ในที่สุด เขาก็ต้องจบชีวิตในทะเล
การเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงเป็นความเชื่อที่ตกทอดกันมาจนถึงสมัยโลกมีลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธพระเจ้า สหภาพโซเวียตผู้นำชาติคอมมิวนิสต์ที่มีความเจริญมากที่สุดเคยส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก ด้วยความภาคภูมิใจในความสำเร็จ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ส่งนายยูริ กาการิน นักบินอวกาศคนแรกของสหภาพโซเวียตไปยังสถานศึกษาต่างๆเพื่อเผยแพร่ความคิดเรื่องพระเจ้าไม่มีอยู่จริง
เมื่อไปถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง ยูริ กาการินได้เล่าให้เด็กนักเรียนชั้นประถมฟังว่าตัวเขาออกไปนอกโลกมาแล้ว แต่เขาไม่เห็นพระเจ้าที่คนทั่วไปเชื่อกันว่ามีอยู่ มาถึงตรงนี้ เขาถูกเด็กในชั้นเรียนยกมือขัดจังหวะถามว่าเขาเห็นต้นไม้ที่อยู่หลังห้องเรียนไหม เมื่อเขาตอบว่าไม่ เด็กนักเรียนจึงตอบว่าการมองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี
แม้ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่ความเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีก็ยังคงมีอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า Atheist คนกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากมายที่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า
ในคำสอนอิสลาม ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าและเป็นที่มาของวิทยาศาสตร์ถูกเรียกว่า “สัญญาณ” “หลักฐาน” และ “สิ่งมหัศจรรย์” ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย
เมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน ขณะที่โลกยังไม่มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ คัมภีร์กุรอานซึ่งถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งเพื่อยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าในฐานะผู้สร้างว่า
“แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง(มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูกแล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)
ยุคนี้เป็นยุคทองของความรู้และสติปัญญา ใครจะเชื่อหากมีคนบอกว่าหุ่นยนตร์ทันสมัยที่ทำงานแทนมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีคนสร้าง ยิ่งถ้ามีคนบอกว่ามนุษย์ผู้สร้างหุ่นยนตร์เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีใครสร้าง ไม่เพียงแต่ไม่มีใครเชื่อเท่านั้น คนที่พูดอาจถูกมองว่าเป็นคนไร้สติปัญญาด้วย
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
Faith has wisdom to confirm.
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkasonc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น