ศีลอดเป็นอะไรมากกว่าการอดข้าวอดน้ำ

บรรจง บินกาซัน

การถือศีลอดด้วยการละเว้นจากการกินและดื่มดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติทางร่างกายภายนอก  แต่ในความจริงแล้ว  มันเป็นมาตรการหรือวิธีการควบคุมจิตใจมนุษย์มิให้ตอบสนองอารมณ์ฝ่ายต่ำหรือกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ 

ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกวัฒนธรรมที่มีความเชื่อทางจิตวิญญาณจึงมีการถือศีลอด

ในอิสลาม  การถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มตลอดกลางวันต้องมีเจตนาว่าทำไปเพื่อพระเจ้าโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เช่น การลดน้ำหนักหรือทำไปเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ทรงศีลที่นอกจากละเว้นการกินการดื่มแล้ว ยังสละความต้องการอื่นๆด้วย 

เนื่องจากการถือศีลอดอาหารและน้ำมีมาตั้งแต่สมัยโมเสส  แต่เมื่อนานไป สาวกของโมเสสส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติตาม  เยซัสไครสต์จึงถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่โมเสสนำมาและปฏิบัติตามสิ่งที่โมเสสได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง

ในสมัยของเยซัสไครสต์  ชาวยิวที่ตลบตะแลงบางคน นอกจากถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มแล้วยังต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเคร่งศาสนาโดยการละเว้นการแต่งกายที่สวยงามตามปรกติด้วย  คนเหล่านี้จะสวมเสื้อที่ทำจากผ้ากระสอบ ปล่อยผมให้ยุ่งเหยิง  มิหนำซ้ำ บางคนยังเอาฝุ่นหรือขี้เถ้าโรยบนเส้นผมและบนเสื้อผ้าด้วย

ดังนั้น  เยซัสไครสต์จึงตำหนิคนที่ทำเกินความต้องการของศาสนาเหล่านี้ว่า “เมื่อท่านถืออดอาหาร  อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร  เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว” (มัทธิว 6:16)

ความหมายที่เยซัสไครสต์ต้องการจะสื่อก็คือใครถือศีลอดด้วยการงดเว้นจากการกินและดื่มเพื่อพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ  คนผู้นั้นก็ได้รับผลบุญตอบแทนจากพระเจ้าแล้ว การปฏิบัติศาสนกิจมิใช่การทรมานตนหรือการสร้างความลำบากให้ชีวิตจนคนอื่นรับไม่ได้ 

เยซัสไครสต์ยังแนะนำสานุศิษย์ของท่านในการถือศีลอดอีกว่า  “ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ เพื่อคนจะได้ไม่รู้ว่าถืออดอาหาร  แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับและพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” (มัทธิว 6:17-18)

นั่นหมายความว่าการถือศีลอดจะต้องทำไปโดยไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองถือศีลอดนอกจากตัวเองกับพระเจ้า  การใช้ชีวิตประจำวันต้องดำเนินไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะถ้าหากผู้ถือศีลอดแสดงอาการอ่อนแอเหมือนไก่เป็นโรคหรือลิงป่วย  คนที่รู้เห็นจะไม่อยากปฏิบัติ

การถือศีลอดถูกกำหนดมาโดยพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์  ดังนั้น พระองค์จึงรู้ว่ามันไม่เกินความสามารถสำหรับผู้ศรัทธาจะปฏิบัติ และหากใครมีเหตุผลทางสุขภาพที่ไม่อาจทำได้ก็ได้รับการยกเว้น  ความจริงในเรื่องนี้เห็นได้จากการที่นักฟุตบอลมุสลิมในอังกฤษยังสามารถลงแข่งขันฟุตบอลได้ในขณะที่กำลังถือศีลอด

ในอิสลาม  การถือศีลอดยังถูกนำมาใช้ในการไถ่โทษความผิดบางอย่าง เช่น หากมุสลิมคนใดทำให้ใครคนหนึ่งเสียชีวิตโดยพลั้งผิดหรือโดยไม่เจตนา  การไถ่โทษของเขาคือการ “จ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและปล่อยทาสหนึ่งคนให้เป็นอิสระ  แต่ถ้าไม่สามารถหาทาสได้ ต้องถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลาสองเดือนเพื่อเป็นการสำนึกผิด” (กุรอาน 4:92)  

การถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลาสองเดือนยังถูกนำมาใช้เพื่อลงโทษมุสลิมผู้ละเมิดความศักดิ์สิทธิ์ของเดือนเราะมะฎอนโดยการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยาของตัวเองในเวลากลางวันระหว่างเดือนเราะมะฎอนด้วย

นอกจากนี้แล้ว ใครผิดคำสาบานโดยเจตนา  คนผู้นั้นต้องไถ่โทษโดยการให้อาหารคนขัดสนสิบคนตามปริมาณเฉลี่ยที่ตัวเองกินหรือปลดปล่อยทาสคนหนึ่ง ถ้าหากไม่สามารถทำได้ก็ให้ถือศีลอดสามวันแทน”  (กุรอาน 5:89)

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน

https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |

[ Translate by Google Translate ]

Fasting is more than fasting.

Banjong Bingasan

Fasting with refraining from eating and drinking appears to be an outward bodily practice. but in fact It is a measure or a way to control the human mind so that it does not respond to low emotions or passions that cause suffering.

So it is not uncommon for all spiritual cultures to fast.

In Islam, fasting with abstinence from eating and drinking throughout the day must be done with the intention of serving God without any ulterior motives, such as weight loss or for others to recognize oneself as a practitioner. eating and drinking also forgoing other needs

Because the fasting of food and water has existed since the time of Moses. But after a long time Most of Moses' disciples did not obey. Jesus Christ was therefore sent to confirm the original law that Moses had brought and to follow what Moses had done as an example.

In the time of Jesus Christ Some deceitful Jews In addition to fasting by refraining from eating and drinking, he also wanted to show others that he was religious by refraining from the usual pretty clothes. These people will wear clothes made of sackcloth. Leave your hair in a mess. In addition, some people sprinkle dust or ash on their hair and clothing.

Therefore, Jesus Christ rebuke those who overdo the needs of these religions. “When you fast Do not make a sad face like a hypocrite. for he made his face dirty so that people would see that he was fasting I tell you the truth, he has received his reward” (Matthew 6:16).

The meaning that Jesus Christ wants to convey is that one who fasts by abstaining from eating and drinking for God with sincerity. That person has received a reward from God. Religious service is not to torment oneself or to make life difficult for others.

Jesus Christ also advised his disciples to fast: “On your part, when you fast Wash your face and put oil on your head. so that people will not know that you are fasting. but to your Father who dwells in secret, and your Father who sees in secret will reward you” (Matthew 6:17-18).

This means that fasting must be done without anyone knowing that you are fasting except yourself and God. Daily life must go on as usual as if nothing had happened. For if a fasting person appears weak like a diseased chicken or a sick monkey, Those who know, will not want to act.

Fasting was ordained by God the Creator of mankind, so He knew that it was beyond the capacity of believers to practice. And if anyone has a health reason that cannot do so, they are exempt. The fact of the matter is evident in the fact that Muslim footballers in England can still play football matches while fasting.

In Islam, fasting is also used to atone for certain sins, for example if a Muslim accidentally or unintentionally causes the death of someone. His atonement was “Pay compensation to the deceased heir and free one slave. But if you can't find a slave One must fast for two months as a sign of repentance.” (Qur'an 4:92)

Two months of continuous fasting are also used to punish Muslims who violate the sanctity of Ramadan by having sex with their wives during the daytime during Ramadan.

In addition Who deliberately broke the oath That person must atone for the penalty by feeding ten needy people the average amount he eats or freeing a slave. If this is not possible then fast three days instead” (Quran 5:89).

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation

https://www.facebook.com/Banjong.Binkason