ศาสตราจารย์ ยูเลียส เฮียชแบร์ก (Professor Julius Hirschberg) จักษุแพทย์ชื่อดังของเยอรมนี ได้บรรยายเรื่อง ‘จักษุแพทย์อาหรับ’ ที่สมาคมแพทย์อเมริกัน รัฐคาลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 11-14 กรกฎาคม 1905 เขาเริ่มต้นการบรรยายว่า:
“ผมขอเชื้อเชิญทุกท่าน...เดินทางกลับไปในอดีตเมื่อพันปีก่อน เพื่อพิจารณาถึงประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของวงการจักษุวิทยาโลกอาหรับ ซึ่งผมได้ศึกษาตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เรามีคำถามสองข้อที่จะต้องมาถกกัน: ข้อแรกคือ ในการศึกษาด้านจักษุวิทยาของจักษุแพทย์อาหรับ พวกเขาหาข้อมูลมาจากไหน? และข้อที่สอง นักวิชาการอาหรับมีบทบาทในการพัฒนาด้านจักษุวิทยาอย่างไร? และหนึ่งในงานคลาสสิกด้านจักษุวิทยาของชาวอาหรับก็คือตำราที่เขียนขึ้นมาโดย อาลี อิบนุ อีซา (ค.ศ.1000) ชื่อ จดหมายเหตุจักษุวิทยา (Memorial of Ophthalmology) ซึ่งส่วนหนึ่งเขาได้รวบรวมข้อมูลมาจากตำราของกาเลน (Galen ค.ศ.129-200) ปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ ตำราด้านตา 10 ข้อ (The Ten Treatises of the Eye) และอีกส่วนหนึ่งอาลีได้เขียนเพิ่มเติมจากการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง”
เฮียชแบร์กให้ความเห็นว่าตำราของอาลีวิเศษมาก เทียบชั้นได้กับบทบาทของชาวมุสลิมที่สร้างสรรค์มัสยิดคอร์โดบา (อัล-อันดาลุส อาณาจักรอิสลามสเปน) อันแสนอลังการเลยทีเดียว
ในตำราของ ‘คาลิฟาฮ์’ (Kalifah ราวค.ศ.1206) ได้ระบุตำราอาหรับที่เกี่ยวกับจักษุวิทยาไว้ 18 เล่ม ซึ่งนักวิชาการมุสลิมใช้เวลาเพียง 250 ปีในการผลิตตำราเหล่านี้ออกมา ในขณะที่งานของนักวิชาการกรีกตั้งแต่ยุคของฮิปโปเครตีส (Hippocrates ค.ศ.460 ก่อนค.ศ. – 370 ก่อนค.ศ.) ไปจนถึง พอลลัส (Paulus Aeginata ศตวรรษที่ 7) ซึ่งยาวนานถึง 1,000 ปี แต่นักวิชาการกรีกกลับผลิตตำราด้านจักษุวิทยาออกมาเพียง 5 เล่ม!! และปรากฎว่าเมื่อรวบรวมทั้งหมดแล้ว นักวิชาการมุสลิมผลิตตำราด้านจักษุวิทยาออกมา 30 เล่ม และยังคงหลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบัน 14 เล่ม
ในภาษาอารบิกจะเรียกจักษุแพทย์ว่า ‘อัล-กาฮาล’ (Al-Kahhal) มาจากคำว่า ‘โกฮาล’ (Kuhl)
เฮียชแบร์กได้เอ่ยถึงนักวิชาการด้านจักษุวิทยาที่สำคัญๆ และผลงานของพวกเขาดังต่อไปนี้
อาลี อิบนุ อีซา (Ali Ibn Isa)
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาที่โด่งดังที่สุดของโลกมุสลิม เขาถือกำเนิดในแบกแดด อิรัก ตำราของเขา ตัสกีรอตุลกาฮาลีน (Tazkiratul-Kahhaleen) หรือหมายเหตุจักษุแพทย์ (Notebook of the Occulist) เป็นตำราด้านโรคตาที่ดีที่สุดและละเอียดที่สุด ถูกนำไปอ้างอิงอย่างกว้างขวางที่สุดโดยจักษุแพทย์ในยุคต่อมา ตอนแรกถูกแปลเป็นภาษาเปอร์เซียก่อน ถัดมาถูกแปลเป็นภาษาละติน ตีพิมพ์ในเมืองเวนิซ (อิตาลี) ในปี 1497
จากนั้นในโลกยุคปัจจุบัน ปี 1904 ถูกแปลและให้ความเห็นเป็นภาษาเยอรมันโดย เฮียชแบร์กและลิพเพิร์ท (Hirschberg & Lippert) ต่อมาปี 1936 เคซีย์ วู้ด ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ
ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาร่วมสมัยกับอาลี อิบนุ อีซา ได้แก่ อัมมาร์ อิบนุ อาลี อัล-โมซุลี (ดูรายละเอียดข้างล่าง) และ อบุล ฮาซัน อาห์เมด อิบนุ มุฮัมมัด อัล-ตาบารี ซึ่งได้ระบุไว้ในหนังสือของเขา “Kitab-ul Mu’Alaja-ul Buqratiyya” (Book of Hippocratic Treatment) ว่าเขาได้เขียนตำราขนาดยาวเรื่องโรคตาไว้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ตำราจักษุวิทยาของอัล-ตาบารีไม่เหลือรอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
อัมมาร์ อิบนุ อาลี อัล-โมซุลี (Ammar Ibn Ali Al-Mosuli)
อัมมาร์มาจากเมืองโมซุล (Mosul) ในอิรัก สร้างชื่อในแวดวงวิชาการช่วงปีค.ศ.1010 เขาเขียนหนังสือด้านจักษุวิทยาชื่อ ตำราทางเลือกในการรักษาโรคตา(Kitab-ul Muntakhab fi Ilaj-ul ‘Ayn หรือ Book of Choices in the Treatment of Eye Diseases) อัมมาร์เป็นหมอที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในอียิปต์ หนังสือของเขามีทั้งเรื่องกายวิภาควิทยา โรควิทยา และได้อธิบายวิธีการดูดต้อกระจกออกจากตาซึ่งมี 6 วิธี และวิธีรักษาเส้นประสาทตาอักเสบ
เฮียชแบร์กระบุว่าอัมมาร์เป็น “ศัลยแพทย์ด้านตาที่เฉลียวฉลาดที่สุดของโลกอาหรับ” ในตำราของเขาซึ่งสั้นมากถือเป็นตำราจักษุวิทยาที่บางที่สุด มีตัวหนังสือเพียง 1,500 คำ แต่อัมมาร์ได้เขียนเกี่ยวกับโรคตาถึง 48 ชนิด! ตำราของอัมมาร์ปัจจุบันถูกเก็บไว้ที่หอสมุดเอสโคเรียล กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแม้หนังสือของอัมมาร์จะบางกว่าหนังสือของอาลี อิบนุ อีซา เยอะแยะ แต่ก็ได้ระบุโรคตาชนิดต่างๆ ที่เขาสังเกตเห็นและค้นพบด้วยตัวเองมากกว่าของอาลี
ในศตวรรษที่ 13 ชาวยิวชื่อ ‘นาธาน’ ได้แปลตำราเล่มนี้เป็นภาษาฮีบรู ต่อมาในปี 1905 เฮียชแบร์กแปลเป็นภาษาเยอรมัน
อัมมาร์เป็นคนแรกที่คิดค้นการผ่าตัดดูดต้อกระจกออกจากตาโดยใช้เข็มกลวงสอดเข้าไป ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้เป็นวิธีการที่ทันสมัยที่สุดเมื่อพันปีก่อน
ที่น่าสนใจก็คือ ในตำราที่เขาเขียนขึ้นมาทั้งหมดในฐานะศัลยแพทย์และนักวิจัย อัมมาร์ได้ระบุไว้ตลอดว่า ความสำคัญอันดับแรกสุดของเขาคือการเป็นมุสลิม ส่วนการเป็นนักวิทยาศาสตร์นั้นสำคัญรองลงมา ซึ่งได้แสดงให้เห็นในทัศนคติที่เอื้ออาทรต่อคนไข้ แม้เขาจะเดินทางมากแต่ก็จะปฏิบัติศาสนกิจครบตามข้อบังคับของศาสนา เขายังได้เดินทางไปเยือนหลุมศพของท่านศาสนฑูตที่เมืองมาดีนาและประกอบพิธีฮัจย์ที่เมกกะ
ภาพวาดแพทย์มุสลิมสมัยกลางกำลังรักษาคนไข้
ซาร์รินดาส (Zarrindast)
อบู รุฮ มุฮัมมัด อิบนุ มันซูร บินอับดุลลอฮ หรือที่รู้จักกันว่า “อัล-จูร์จานี” (Al-Jurjani) มีสมญานามว่า ‘หัตถ์ทองคำ’
เป็นศัลยแพทย์ชื่อดังจากเปอร์เซีย รุ่งเรืองช่วงปี 1088 ซึ่งเป็นรัชสมัยสุลต่านมาลิกชาห์ เขาเขียนตำราจักษุวิทยาชื่อ ‘นูรุลอุยูน’ (Nur-ul-’Ayun) หรือ แสงแห่งดวงตา (The Light of the Eyes) ตำราเล่มนี้เขาเขียนขึ้นจากการศึกษาวิจัยด้วยตัวเอง มีทั้งหมด 10 บท ในบทที่ 7 เขาได้อธิบายการผ่าตัดตา 30 แบบ ซึ่งรวมไปถึงการผ่าตัดต้อกระจก 3 แบบด้วย เขายังเขียนเกี่ยวกับกายวิภาคและสรีรวิทยาด้านตาและโรคตา ในบทหนึ่งเขียนเกี่ยวกับโรคตาที่มองเห็นได้เช่น ต้อกระจก โรคริดสีดวงตา โรคที่เปลือกลูกตา และปัญหาหนังตา ในบทอื่นๆ ได้กล่าวถึงโรคตาที่มีสาเหตุมาจากด้านอื่นเช่น เส้นประสาทชา เลือดผิดปกติ
เขาได้ระบุถึงโรคตาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และโรคตาที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด และระบุวิธีการรักษา มีหมวดหนึ่งที่อธิบายการผ่าตัดตาโดยเฉพาะ และยังมีหมวดที่เกี่ยวกับยารักษาโรคตา
ผู้เชี่ยวชาญด้านตาอีกคนหนึ่งที่เฮียชแบร์กได้กล่าวถึงในการบรรยายที่สมาคมแพทย์อเมริกัน (ปี 1905) ก็คือ อบู มุตตารีฟ จากเซบีญ่า (อัล-อันดาลุส อาณาจักรมุสลิมสเปน) ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 11 นอกจากเขาจะเป็นจักษุแพทย์แล้วก็ยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ แต่น่าเสียดายที่ตำราของเขามิได้หลงเหลือมาถึงยุคเราเลย
อัล-กอฟิกี (Al-Ghafiqi)
มุฮัมมัด อิบนุ กัซซัม อิบนุ อัสลัม อัล-กอฟิกี ในภาษาสเปนเขียนว่า Muhammad Al-Gafequi หรือที่รู้จักกันว่า ‘อัลกอฟิกี’ (เสียชีวิตปี 1165) เป็นจักษุแพทย์แห่งอัล-อันดาลุส อาณาจักรมุสลิมสเปน ในศตวรรษที่ 12 เขาได้เขียนตำราชื่อ อัลมูรชิดฟิลกุล (Al-Murshid fil Kuhl) หรือ แนวที่ถูกต้องของจักษุวิทยา (The Right Guide in Ophthalmology) ซึ่งมิได้ระบุแค่เรื่องของตาเท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับศีรษะและโรคเกี่ยวกับสมอง ในตำราของเขา อัล-กอฟิกีได้อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือของอัมมาร์
ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนคอร์โดบา สเปน สามารถไปเยี่ยมชมรูปปั้นครึ่งตัวของอัล-กอฟิกีในเครื่องแต่งกายอาหรับได้ที่ลานสี่เหลี่ยมโรงพยาบาลเทศบาลเมืองคอร์โดบา รูปปั้นของเขาถูกสร้างขึ้นมาในปี 1965 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบ 800 ปีของการเสียชีวิตของอัล-กอฟิกี
รูปปั้นครึ่งตัวของอัล-กอฟิกี (Al-Ghafiqi หรือ Muhammad Al-Gafequi) ในเครื่องแต่งกายอาหรับที่เมืองคอร์โดบา สเปน
คาลีฟาฮ์แห่งฮาเลบ (Kalifah of Haleb)
คาลีฟาฮ์ อิบนุ อัล-มาฮาซิน แห่งอเลปโป หรือ ฮาเลบ (ซีเรีย) ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงปี 1260 เขาเขียนตำรามีความหนา 564 หน้า ทั้งอธิบายและมีภาพวาดของเครื่องมือผ่าตัดหลากชนิด รวมไปถึงเครื่องมือ 36 ชนิดที่ใช้ในการผ่าตัดตา เขายังได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างดวงตากับสมองต่อการมองเห็นของมนุษย์ คาลีฟาฮ์เขียนวิธีการผ่าตัดต้อกระจก 12 แบบ คำว่าต้อกระจกในภาษาอารบิกคือ ‘อัล-มาอะ นาซุลอีน’ คำว่า ‘มาอะ’ หมายถึง ‘น้ำ’ หรือน้ำที่เข้าไปอยู่ในดวงตา ตัวอย่างเช่น น้ำที่เข้าไปอยู่ในเลนส์ตา ทำให้ดวงตา ‘โชก’ นำไปสู่อาการตาพร่า ต้อกระจกที่ทำให้ดวงตาพร่ามัวนี้สามารถใช้เข็มกลวงดูดออกไปได้ ทำให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง
ซอลาฮุดดีน (Salahuddin)
ซอลาฮุดดีน อิบนุ ยูซุฟ จากฮัมมาฮ์ (ซีเรีย) เขียนหนังสือ แสงของดวงตา (The Light of the Eyes) ขึ้นมาในปี 1290 หนังสือของเขาไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงเหมือนจักษุแพทย์ข้างต้น แต่กล่าวถึงเรื่องของดวงตาแบบทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับหนังสือของแพทย์มุสลิมชื่อดังรายอื่นๆ อย่าง อัล-ซาฮ์ราวี, "อัลบูคาซิส" ศัลยแพทย์แห่งอันดาลูเชีย (Al-Zahrawi “Albucasis” ค.ศ.936-1013), อิบนุซุฮริ (Ibn Zuhr ค.ศ.1091–1161 โลกตะวันตกรู้จักเขาในนาม ‘Avenzoar’ เป็นแพทย์ชื่อดังแห่งเซบีญ่า สเปน), และอิบนุรุชด์ (หรือ ‘อเวอร์โรส’ Averroes ค.ศ.1126-98 ปราชญ์แห่งอัล-อันดาลุส ที่ประเทศสเปนยกย่องอย่างสูงมาจนถึงทุกวันนี้)
อิบนุ ไฮษัม
อิบนุ อัล-ไฮษัม "อัลฮาเซน" (Ibn al-Haytham “Alhazen” ค.ศ.965-1040) หักล้างทฤษฎีของยูคลิด (Euclid) และปโตเลมี (Ptolemy) ปราชญ์ชาวกรีกที่สอนกันมาเป็นพันปีว่าแสงมาจากการที่ดวงตาของมนุษย์ส่งแสงออกไป อิบนุ อัล-ไฮษัมเป็นมนุษย์คนแรกที่อธิบายว่าแสงจากวัตถุสะท้อนเข้ามาสู่ตาของมนุษย์ต่างหาก คนเราถึงมองเห็น มิใช่ตาของมนุษย์ส่งแสงออกไปดังเช่นที่ยูคลิดและปโตเลมีเคยสอนไว้ เขาใช้การทดลองโดยใช้ห้องมืดในการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว ต่อมางานวิจัยของอิบนุ ไฮษัมได้ถูกอ้างอิงซ้ำ และศึกษาเพิ่มเติมโดยนักวิทยาศาสตร์เปอร์เซียชื่อ กมาลุดดีน อัล-ฟาริซี (Kamal al-Din Abu'l-Hasan Muhammad Al-Farisi ค.ศ.1267-1319) ซึ่งได้สังเกตลำแสงภายในลูกแก้ว เพื่อศึกษาการสะท้อนของแสงแดดในละอองฝน ผลการศึกษานี้ทำให้เขาสามารถอธิบายการเกิดรุ้งกินน้ำเป็นคนแรกของโลก
“จากปีค.ศ.800-1300 โลกอิสลามได้ผลิตจักษุแพทย์ระดับพระกาฬไม่น้อยกว่า 60 คน รวมทั้งผู้แต่งตำราด้านจักษุวิทยาโดยเฉพาะ ในขณะที่เราไม่เคยได้ยินชื่อของจักษุแพทย์ชาวยุโรปก่อนหน้าศตวรรษที่ 12 เลย” ศาสตราจารย์เฮียชแบร์กได้ตั้งข้อสังเกตนี้ในการบรรยายที่สมาคมแพทย์อเมริกัน
แพทย์มุสลิมผลิตตำราจักษุวิทยามากมายที่มาจากการศึกษาวิจัยด้วยตัวเอง ตำราของพวกเขาทำให้เราได้เห็นภาพที่เก่าแก่ที่สุดของกายวิภาคของดวงตา แต่การศึกษาของพวกเขาก็มีข้อจำกัดเพราะแพทย์มุสลิมจะศึกษาจากดวงตาของสัตว์เท่านั้น การศึกษาจากร่างกายมนุษย์ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
ตำราของชาวอาหรับมีทั้งการบัญญัติศัพท์ด้านจักษุ ทั้ง ลูกตา, เยื่อตาขาว, กระจกตา แก้วตา, และภาพที่จอตา แพทย์มุสลิมยังได้ผ่าตัดโรคต่างๆ ที่เกิดกับหนังตา อาทิ โรคริดสีดวงตา (trachoma) เป็นโรคตาอักเสบเรื้อรังที่เยื่อบุตาขาวและกระจกตา (ตาดำ), โรคต้อหิน (Glaucoma โรคตาที่มีความกดดันในลูกตามากกว่าปกติจนทำให้ตาบอดในที่สุด) ซึ่งเรียกกันว่า “อาการปวดศีรษะของนักเรียน” ก็ถูกบรรยายครั้งแรกโดยแพทย์อาหรับ แต่บทบาทที่สำคัญที่สุดของแพทย์อาหรับด้านจักษุวิทยาจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘การผ่าตัดต้อกระจก’
ในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน (ปี 1935) ได้ระบุไว้ว่า ในหอสมุดวาติกัน มีตำราต้นฉบับของ อิบนุ อัล-นาฟิส (Ibn al-Nafis ค.ศ.1213-88) ชื่อว่า “Kitab-ul Muhazzab fi Tibb-il ‘Ayn” (หรือ ‘ตำราจักษุแพทย์’ A Book of Corrections in the Medicine of the Eye) ที่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับดวงตาของสัตว์และลักษณะทั่วไปและสีของดวงตามนุษย์
เจอราดแห่งครีโมนาในโทเลโด (สเปน) ใช้เวลาช่วง 40 ปีของชีวิต (ปี 1147-87) แปลหนังสือของนักวิชาการมุสลิมเป็นภาษาละติน ตำราต่างๆ มีทั้งของอัล-ราซีและอิบนุ ซินา ซึ่งเรื่องนี้ได้ปรากฎอยู่บนแสตมป์ประเทศสเปนที่ออกมาเป็นที่ระลึก แพทย์อาหรับเป็นแนวหน้าในการศึกษาวิจัยเพื่อเยียวยาปกป้องดวงตาของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อ 1,000 ปีก่อน อัล-ราซีเป็นแพทย์คนแรกที่อธิบายปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งกระตุ้นของนักเรียน ในยุคเดียวกัน อัมมาร์ บินอาลี อัล-โมซุลี ก็ได้คิดค้นวิธีการดูดต้อกระจกออกจากดวงตาโดยใช้เข็มกลวง” (Optometry Today, publication of the Association of Optometrists, England, March 28,1987)
ศ.ยูเลียส เฮียชแบร์ก ได้สรุปในการบรรยายที่สมาคมแพทย์อเมริกันว่า:
“ในช่วงที่เรียกว่ายุคมืดของยุโรป พวกเขา (ชาวอาหรับมุสลิม) ได้จุดไฟให้แสงสว่างและหล่อเลี้ยงตะเกียงของศาสตร์ของเรา (จักษุวิทยา) จากเมืองGuadalquivir (ในสเปน) ไปยังแม่น้ำไนล์ (ในอียิปต์) ไปจนถึงแม่น้ำโอซุส (ในรัสเซีย) พวกเขาคืออัจฉริยะหนึ่งเดียวของจักษุวิทยาในช่วงยุคมืดของยุโรป” ศ.ยูเลียส เฮียชแบร์ก
หมายเหตุ: ต้อกระจกคืออาการขุ่นที่แก้วตา ทำให้ตาพร่า ท้ายที่สุดจะทำให้มองไม่เห็น มักเป็นในวัยผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป การรักษาต้อกระจกที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบันวงการแพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดเอาเลนส์เก่าที่เสื่อมออก แล้วเอาเลนส์เทียมใส่เข้าไป ที่ญาติผู้ใหญ่มักบอกว่า ‘ไปลอกตา’ นั่นแหละ ลอกทีละข้าง ใช้เวลาห่างกันข้างละเป็นปี
การดูดต้อกระจกโดยใช้เข็มกลวงเป็นวิธีการที่โบราณสุดๆ แต่ก็ใช้กันมานานมากกกก ช่วงไม่เกินร้อยปีที่ผ่านมาในพื้นที่ทุรกันดารก็ยังใช้กันอยู่ หลังจากยุคทองของโลกมุสลิมแล้ว ทางยุโรปเองเพิ่งจะมีการผ่าตัดต้อกระจกในปี 1748 โดย Jacques Daviel แพทย์ชาวฝรั่งเศส (ตั้ง 750 ปีหลังยุคของอัมมาร์ อิบนุ อาลี อัล-โมซุลี) ส่วนวิธีการรักษาที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบันโดยผ่าตัดเอาเลนส์เก่าที่เสื่อมออก เอาเลนส์เทียมใส่เข้าไปเพิ่งทำสำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1949 โดยเซอร์ฮาโรลด์ ริดลีย์ (Sir Harold Ridley) แพทย์ชาวอังกฤษที่โรงพยาบาลเซนต์โทมัส กรุงลอนดอน
โดย ดร.อิบราฮิม ชัยค์ (Dr Ibrahim Shaikh)
แปลโดย ลานา อัมรีล
ที่มา: Eye Specialists in Islam. Foundation for Science Technology and Civilization (FSTC Limited). Thu 20 December 2001.
http://www.muslimheritage.com/topics/default.cfm?ArticleID=222
คัดลอกมาจาก
http://in-arm.spaces.live.com/blog/cns!6B9DA3CC41731003!1224.entry
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
Muslim ophthalmologist Eye Specialists in Islam.
By Dr. Ibrahim Mr. Mike (Dr Ibrahim Shaikh).Translated by Maulana reel Burnham
Professor Julius H. Berge Huerta (Professor Julius Hirschberg) Germany's renowned ophthalmologist. The Lecture 'Ophthalmologist Arab' at the American Medical Association. State Khalil California on 11-14 July 1905 that he began to lecture.
"I invite all of you ... go back to the past thousand years ago. To consider the dramatic history of the Arab world ophthalmology. Which I have studied for a period five years ago, we have two questions that will be discussed: The first was in the study of ophthalmology ophthalmologist Arabic. They get the information from? And the second Arab scholars have a role in the development of ophthalmology, how? And one of the classic works of the Arabs is the ophthalmology textbooks written by Ali ibn Isa (AD 1000), Archives of Ophthalmology (Memorial of Ophthalmology), of which he was crawling. the texts of Galen (Galen 129-200 BC), a Greek philosopher named cookbook in 10 eyes (The Ten Treatises of the Eye) and partly Ali has written more research on their own. "
Bahia Beach Berge commented that the texts of the great Ali. Compared with the constructive role of the Muslim Mosque of Cordoba. (Al - Andalus. Islamic kingdom in Spain) is a grand one.
The texts of the 'Khalifa Ali' (Kalifah Rawc.s. 1206) states that the Arabic texts on ophthalmology are 18 books which Muslim scholars took only 250 years to produce these books out. While the Greek scholar of the hippo from Craig hit (Hippocrates before 460 AD. Fri. - 370 before. Fri.) To Paulus (Paulus Aeginata 7th century) which. Up to the year 1000, but Greek scholars to produce the ophthalmology textbooks out only five books !! And it turns out that on the whole. Muslim scholars produced the ophthalmology textbooks out 30 books and still remains to the present 14 books.
In Arabic that referred to ophthalmologists 'Al - Ka Mahal' (Al-Kahhal) comes from the word 'Go Hal' (Kuhl).
Bahia Beach Berge mention academic major ophthalmology. And their works as follows.
Ali ibn Isa (Ali Ibn Isa).
A specialist in ophthalmology, the most famous of the Muslim world. He was born in Baghdad, Iraq, his texts ski cross Crystal Scales Makaha lean. (Tazkiratul-Kahhaleen) or ophthalmologist Note (Notebook of the Occulist) is a treatise on the best and most detailed eye diseases. According to the most widely taken by ophthalmologists in subsequent generations. At first it was translated into Persian before. Later it was translated into Latin. Published in Venice (Italy) in 1497.
Then, in the present year 1904 was translated and commented the German. Bahia Beach Berge and lift up Perth (Hirschberg & Lippert) 1936 years later, Casey Wood, has been translated into English.
Among experts in ophthalmology contemporary with Ali ibn Isa, including Amman's Ibn Ali Al - Mo Ursuline (see details below) and Abul Hasan Ahmed ibn Mohammed al. - The eye of Bari, which was outlined in his book "Kitab-ul Mu'Alaja-ul Buqratiyya" (Book of Hippocratic Treatment) that he has written a book-length story with eye diseases. Unfortunately, the texts of al Ophthalmology - eye Bari not survived to the present.
Amman's Ibn Ali Al - Mo Ursuline (Ammar Ibn Ali Al-Mosuli).
Amman's city of Mosul (Mosul) in Iraq made a name in academic circles during the year.. 1010. He writes the name of Ophthalmology. Texts choice in the treatment of eye diseases (Kitab-ul Muntakhab fi Ilaj-ul 'Ayn or Book of Choices in the Treatment of Eye Diseases) Amman, a doctor who lives mainly in Egypt. His books are all about anatomy, pathology and explains how to suck cataracts from eyes that are 6 ways and means to treat nerve inflammation.
Bahia Beach Berge stated that Amman was. "The eye surgeon at the discretion of the Arab world" in his cookbook, which is a very short treatise of ophthalmology at the thinnest. There are only 1500 words of text, but Amman has written about the 48 kinds of eye diseases! Amman current texts are kept at the Library of S. Korea and Real Madrid in Spain, although the book of Amman will be thinner than the books of Ali ibn Isa, but also identified many different types of eye diseases. He noted, and found themselves more of Ali.
In the 13th century Jew named 'Nathan' had translated the book into Hebrew, later in 1905, Bahia Beach Berge translated into German.
Amman was the first to invent cataract surgery sucked out of the eye of a needle inserted into the hollow. This type of surgery is the most advanced on the previous millennium.
It is interesting In the book he wrote up all the surgeons and researchers. Amman has stated that throughout. The first priority was to be a Muslim. The scientists are of minor importance. This was demonstrated in a caring attitude towards patients. Despite his departure, but it is a ministry of religion clause. He also visited the grave of the Messenger, the city of Medina and Mecca to perform the Hajj.
Paintings, medieval Muslim physicians were treating the patient.
Cesar Marin Das (Zarrindast).
Rui Feng Abu Mansur Muhammad ibn Abd Allah or the Flying known. "Al - Ju's JY" (Al-Jurjani) has the nickname 'Golden Hands'.
A famous surgeon from Persia During the year 1088, a prosperous reign of Sultan Malik Shah. He wrote a treatise on ophthalmology name 'Nuru in Saudi Yoon' (Nur-ul-'Ayun) or light eyes (The Light of the Eyes), this book written from his own studies with a total of 10 chapters. In chapter 7 he describes 30 different eye surgeries, including cataract surgery with 3 He also wrote about the anatomy and physiology of the eye and eye diseases. In a chapter written about eye diseases such as cataracts, trachoma visible. The shell of the eye disease And eyelid problems in other chapters have discussed eye disease that is caused by other disorders, such as nerves, blood tea.
He has identified eye disease that can be cured. And eye disease can not be cured. Identify and remedy There is one group that describes a particular eye surgery. It also has a section on the treatment of eye diseases.
One eye expert at Bahia Beach Berge said in a lecture at the American Medical Association (1905) is Abu Opal Reef from Sevilla (Al - Andalus. Muslim kingdom in Spain), which flourished in the 11th century, unless he is an ophthalmologist and was also the coach of the Kings. Unfortunately, his texts are not surviving to age us.
Al - Phil McKee Gore (Al-Ghafiqi).
Muhammad ibn Loi Sam Ibn al Ghetto Al - Gore a few in Spanish, wrote Muhammad Al-Gafequi, known as 'Al Gore a few' (died in 1165), is an ophthalmologist of God. - The Andalus Muslim kingdom in Spain in the 12th century, he wrote a treatise name. The proximity Gul Muhammad al Phil (Al-Murshid fil Kuhl) or the right of Ophthalmology (The Right Guide in Ophthalmology), which is not just a matter of eye only. It also includes details about the head and brain diseases in his treatise Al - Gore a few are based on data from Amman's book.
Today, tourists visiting the city of Cordoba, Spain also visited the bust of Al - Gore a few in Arab costume at Quad City Municipal Hospital of Cordoba. A statue of him was erected in 1965 to commemorate the 800 year anniversary of the death of Al - Gore a few.
A bust of Al - Phil McKee Gore (Al-Ghafiqi or Muhammad Al-Gafequi) in costume Arab city of Cordoba, Spain.
Shaikh Khalifa of Hales's (Kalifah of Haleb).
Khalifa Ali ibn al - Omaha City of Aleppo or Hales's (Syria), which flourished during the year 1260, he wrote a textbook with a thickness of 564 pages describing and depicting the surgical dishes. Including 36 kinds of instruments used in eye surgery. He also discusses the relationship between the eyes with the sight of the human brain. Khalifa Ali writes how cataract surgery 12 The word cataract in Arabic is 'al - came Analogue Samad E' word 'is not' means 'water' or water inside. For example, water that goes into the eye lenses make the eyes 'saturate' leading to astigmatism. Cataracts Blurred vision can be used to make the hollow needle to suck out. Enabling patients to see clearly again.
Uppsala Ehud Dean (Salahuddin).
Uppsala Ehud Dean Muhammad ibn Yusuf, from Armagh (Syria) wrote a book of light eyes (The Light of the Eyes) up to the year 1290, his book is not specific as ophthalmologists above. But the eyes of the general. As well as the letter of such other Muslim doctors at al - Samir Shah, Ravi, "Al Rabuka single" Surgeon of Andalusian (Al-Zahrawi "Albucasis" AD 936-1013). , Ibn Yusuf Feng's (Ibn Zuhr AD 1091-1161. The western world knew him as 'Avenzoar' a famous physician of Sevilla, Spain), and Averroes (or 'The River Rose' Averroes since 1126-98 sages of Al - Andalus. South Spain highly praised to this day).
The Company Ibn Heights
Ibn al - High King's "Al Hana Zen" (Ibn al-Haytham "Alhazen" AD 965-1040) refutes the theory of Euclid (Euclid) and Ptolemy (Ptolemy) Greek philosopher. taught for millennia that the light from the eyes of human exposure to Ibn al - High King was the man who first described the light reflected from the object into a human eye. People to see Not human eyes radiate out like the Euclid and Ptolemy had taught them. He was using a dark room to prove such theories. Later research Ibn. The High King has been referenced repeatedly. And studies by scientists Persian name was Ludwig Dean Al - Faris C (Kamal al-Din Abu'l-Hasan Muhammad Al-Farisi AD 1267-1319), which has the beam within the crystal. To study the reflection of sunlight in the rain. These results enabled him to explain the rainbow people of the world.
"From the year.. 800-1300. The Islamic world has produced an ophthalmologist class mail at least 60 people, including the authors of ophthalmology in particular. While we have never heard of the European ophthalmologists earlier 12th century yet, "Professor Bahia Beach Berge has noted this in a lecture at the American Medical Association.
Muslim medical texts produced ophthalmology lot of research on my own. Their texts we have seen, the oldest of the anatomy of the eye. However, their study has limitations because Muslim doctors to study the animal's eyes only. The study of the human body is not honored.
The texts of both the Arabs have coined the eye and the eye, the conjunctiva, cornea, lens, and retina. Muslims also have various medical surgeries. Caused to the eye, such as trachoma (trachoma) is an eye disease, chronic inflammation of the conjunctiva, sclera and cornea (eye), glaucoma (Glaucoma eye disease pressure in the eye more than usual so that blind eventually) which. called "Headache of students" was first described by Arab medicine. But the most important role of the Arab medicine, ophthalmology would otherwise be none other than. 'Cataract'
In the Journal of the American Medical Association (1935) has stated that. In the Vatican Library The original texts of Ibn al - Nafis (Ibn al-Nafis AD 1213-88) titled "Kitab-ul Muhazzab fi Tibb-il 'Ayn" (or' texts ophthalmologists' A Book of Corrections. in the Medicine of the Eye) has elaborated on the animal's eyes and general look and color of the human eye.
Gerrard of Cremona in Toledo (Spain) spent 40 years of his life (years 1147-87) translated the Book of Muslim Scholars of Latin texts in both Al - Gracie and Ibn. Rosina, whose story was depicted on stamps issued to commemorate Spain. Arabic is the leading medical research to cure human eye protection since 1000 last year, Al - Gracie is a doctor who first described the reaction to the stimulus of students. In the same era, Noor bin Ali Al Amman - Motorola Ursuline was invented how to suck cataracts from eyes using a hollow needle "(Optometry Today, publication of the Association of Optometrists, England, March 28,1987).
Prof. Julius Bahia Beach Kongsberg has concluded in a lecture at the American Medical Association.
"In the so-called Dark Ages of Europe, they (Arab Muslims) have the power to light and nurtured plenty of Sciences of us (ophthalmology) from the Guadalquivir (in Spanish) to the Nile (Egypt) to. River Zeus (in Russian), they are intelligent one of Ophthalmology in the Dark Ages of Europe, "Prof. Julius Bahia Beach Berge.
Note: A cataract is a cloudy cornea dazzle ultimately be made invisible. Often in adults age 60 and over Cataract is the most advanced in the medical-surgical method used to remove the old lens worn out. Then remove the artificial lens inserted The elders always say 'the eyes' that copy individually in each side take apart a year.
Cataract extraction using a hollow needle into how ancient it. But it's been used very much. Over more than a hundred years ago in remote areas is still in use. After the Golden Age of Muslim world. Europe has put a cataract surgery in the year 1748 by Jacques Daviel French physician (set 750 years after the era of Amman's Ibn Ali Al - Mo Ursuline), the remedy most advanced today by surgery. Old worn out lens He recently made artificial lens inserted for the first time on November 29, 1949 by Sir Harold Ridley (Sir Harold Ridley) British doctor at St. Thomas Hospital in London.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น