สมดุลแห่งชีวิต

บรรจง บินกาซัน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย วิญญาณและสติปัญญา ชีวิตมนุษย์จะมีความสุขและสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อองค์ประกอบของชีวิตดังกล่าวมาได้รับการตอบสนองอย่างสมดุล

ถ้าร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรง วิญญาณและสติปัญญาก็ต้องการเช่นกัน


ถ้าร่างกายต้องการการชำระล้างเพื่อความสะอาดหมดจดสดชื่น วิญญาณและสติปัญญาก็ต้องการเช่นกัน

ถ้าร่างกายต้องการการพักผ่อนเพื่อความกระปรี้กระเปร่า วิญญาณและสติปัญญาก็ต้องการเช่นกัน

วิทยาศาสตร์อาจตอบสนองความต้องการของชีวิตทางด้านร่างกายและสติปัญญาได้ แต่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของจิตวิญญาณและสติปัญญาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะทางด้านวิญญาณนั้น วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของมันได้เลย

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะได้ยินเรื่องราวของเศรษฐีบางคนไม่มีความสุขทั้งๆที่มีเงินซื้อความสะดวกสบายได้ทุกอย่าง แต่กลับได้รับความสุขทางใจเมื่อปลีกตัวออกจากทรัพย์สินเหล่านั้นไปปลีกวิเวกหรือไม่ก็ถือสันโดษ

นานมาแล้วที่มนุษย์บางคนมองเห็นว่าการมีตัวตนทางร่างกายและความต้องการทางวัตถุอย่างไม่หยุดหย่อนคือที่มาของความทุกข์ ยิ่งต้องการมากก็ยิ่งต้องดิ้นรนแสวงหา ยิ่งเหนื่อยล้า หิวโหยและยิ่งหวงแหนมากขึ้น คนที่มีความคิดเช่นนี้จึงคิดที่จะปฏิเสธความต้องการทางด้านร่างกายของตนอย่างสิ้นเชิงชนิดที่เรียกว่า“หักดิบ”กันเลย คนเช่นนี้ยังมีให้เราเห็นได้ในปัจจุบัน เช่นพวกฤษี ชีเปลือยและนักพรตของนิกายต่างๆในอินเดีย

ความจริงแล้ว ความคิดสุดโต่งดังกล่าวไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาและการปฏิบัติของศาสดาใดๆทั้งสิ้น แต่มันเกิดขึ้นจากความคิดของศาสนิกผู้ไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของศาสนาที่ตัวเองนับถืออยู่ต่างหาก

ก่อนจะได้รับอริยสัจสี่ เจ้าชายสิทธัตถะเคยบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยการอดข้าวอดน้ำเพื่อหาทางพ้นทุกข์ทางด้านจิตวิญญาณมาแล้ว แต่ด้วยสติปัญญา ท่านรู้ว่านี่มิใช่หนทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ท่านจึงหันมาสู่ทางสายกลางด้วยการกินน้อยลง บำเพ็ญสมาธิและใช้สติปัญญามากขึ้น ชีวิตก็อยู่ได้อย่างมีความสุขและมีประโยชน์

หลังสมัยนบีอีซาหรือพระเยซูประมาณ 200 ปี การหมกมุ่นในกาม ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและการหลงใหลบูชาโลกวัตถุเป็นที่แพร่หลายในสังคมบูชาเทวรูปของอาณาจักรโรมัน นักบวชคริสเตียนจึงใช้วิธีการตอบโต้ด้วยวิธีตรงข้ามอย่างสุดโต่งแทนที่จะใช้วิธีการสายกลาง นักบวชเหล่านี้เน้นย้ำถึงความบริสุทธิ์ทางเพศจนถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องสกปรกแม้จะแต่งงานกันแล้วก็ตาม

ความคิดสุดโต่งของคนเหล่านี้เลยเถิดไปจนถึงขั้นที่ว่าการเป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆถือเป็นบาปสำหรับบุคคลทางศาสนาและการใช้ชีวิตอยู่อย่างคนยากจนโดยการครองตนสันโดษถือเป็นเกณฑ์วัดความสูงส่งทางศีลธรรม คนเหล่านี้ถอนตัวออกมาจากความสุขและความสะดวกสบายทางวัตถุ ปฏิเสธความต้องการของตัวเองและถือว่าการทรมานร่างกายด้วยวิธีการต่างๆอย่างเข้มงวดเป็นความสุขสูงสุดและเป็นข้อพิสูจน์ความเข้มแข็งทางด้านจิตวิญญาณ

มีบันทึกกล่าวว่านักบุญมาคาริอุสแห่งอเล็กซานเดรียแบกของหนัก 80 ปอนด์ไว้ตลอดเวลา บางครั้งก็นอนในหนองน้ำโดยปล่อยให้แมลงมีพิษบินไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนร่างกายที่เปลือยเปล่าเป็นเวลาถึงหกเดือน

แต่นักบุญยูเซบิอุสลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่งไปไกลกว่าอาจารย์ของตนโดยการแบกของหนักถึง 150 ปอนด์และนอนอยู่ในบ่อน้ำที่แห้งขอดเป็นเวลาสามปี

นักบุญซาบากินข้าวโพดที่มีกลิ่นเหม็น นักบุญเบสซาริออนนอนอยู่ในพุ่มไม้ที่มีหนามแหลมคมเป็นเวลา 40 วันและไม่เอนหลังลงบนพื้นเป็นเวลา 40 ปี

นักบุญบางคนปล่อยให้เนื้อตัวสกปรกโดยไม่ดูแลทำความสะอาด เพราะคนพวกนี้ถือว่าการชำระล้างร่างกายก็เท่ากับการทำให้วิญญาณสกปรก นักบุญอาธานาเซียสได้อธิบายไว้ให้เราได้ทราบว่าเซนต์ แอนโธนีไม่เคยชำระล้างเท้าของตนเองเลยตลอดชีวิต แม่ชีพรหมจรรย์ซิลเวียผู้มีชื่อเสียงก็ไม่เคยให้ส่วนใดของร่างกายเปียกน้ำตลอดชีวิตยกเว้นนิ้วเท่านั้น

ความคิดปฏิเสธความต้องการของเนื้อหนังทางร่างกายนี้ตกทอดมาถึงชาวอาหรับสมัยของนบีมุฮัมมัดเช่นกัน มีชาวอาหรับมุสลิมบางคนเห็นว่าการปฏิบัติศาสนกิจที่ง่ายของอิสลามไม่สะใจตัวเอง บางคนจึงอยากจะนมาซตลอดทั้งคืนโดยไม่นอน บางคนต้องการถือศีลอดตลอดชีวิต บางคนคิดจะไม่แต่งงาน

เมื่อท่านนบีมุฮัมมัดทราบเรื่องนี้ ท่านจึงบอกสาวกของท่านด้วยคำพูดที่เน้นถึงความสมดุลของชีวิตว่า “ถ้าหากท่านทำเช่นนั้น ดวงตาของท่านจะกลวงโบ๋และร่างกายของท่านจะเหนื่อยล้า แท้จริง ตัวของท่านนั้นมีสิทธิ์จากท่าน(ที่จะได้รับการพักผ่อน) และครอบครัวของท่านก็มีสิทธิ์(ในการได้รับการเลี้ยงดูและความสุข)จากท่าน ดังนั้น จงถือศีลอดเป็นบางวันและละศีลอดเป็นบางวัน และจงลุกขึ้นนมาซบางคืนและจงนอนพักผ่อนบางคืน”



ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Balance of Life

Banjong Binkason

We can not deny that human life consists of a body. Spirit and wisdom Human life will be happy and complete only when the life of such a response was balanced.

The body needs food to the growth and strength. Spirit and wisdom, like as well.

If the body needs cleansing to clean and refreshing. Spirit and wisdom, like as well.

The body needs rest to rejuvenate. Spirit and wisdom, like as well.

Science may satisfy the needs of the body and the intellect. But science can not meet the needs of the spirit and the intellect at all. Especially in the Spirit Science can not meet the needs of it all.

So it's not unusual for us to hear the story of wealthy people are unhappy in spite of the comfortable buying everything. I was happy when the mind away from those assets to retreat or ascetic.

Long ago, some people see the tangible physical and material needs incessantly, is a source of suffering. I want it to be more passive. The fatigue Hunger and cherish even more People with this mindset that we want to deny the body its radical type called "contrasts" do. Such a person also has to be seen today as the hermit and ascetic sect girls in India.

In fact, the idea of ​​such extremists in religious teachings and practices of the Prophet in any way. It stems from the idea degrees congregations who do not understand the purpose and spirit of the religion that regards itself apart.

First, it was the Four Noble Truths Prince's been perfected by asceticism starving for the suffering of the soul then. But wisdom I know this is not the correct way of life. So he turned to the middle way by eating less. Meditation and wisdom more. Life was very happy and helpful.

After days of Prophet Jesus, or Jesus for about 200 years, the lecherous. The moral depravity and passionate worship the material world is pervasive in society idol worship of the Roman Empire. Christian priests and instances of retaliation by the opposite extreme, instead of the middle. These priests stressed the chastity considered as a relationship between a man and a woman is married or even dirty.

He withdrew from the happiness and comfort material. Rejected the demand of themselves and considered physical torture by various methods, strict maximum pleasure, and proves the strength of the spirit.

He has said Karina Saint Pius of Alexandria, carrying 80 pounds of weight at all times. Sometimes sleeping in swamps, poisonous insects, leaving the flies swarming Eves on the naked body for up to six months.

But the St. Sebastian Bishop Pius, one of his followers to go beyond their professors to carry heavy loads up to 150 pounds and lying in ponds that dry up for three years.

St. Saba ate corn smell. St. Bassa Marriott lying in the bushes with sharp thorns for 40 days and do not lie down on the floor for 40 years.

Some Saints left torso dirt without cleaning. Because they are considered to purify the body, it is the soul dirty. St. Martha's euthanasia has explained to us that St. Anthony never wash the feet of my life. Nuns, virgins, Sylvia, who was never known to any body of water for life, except only inches.

Rejected the idea of ​​the flesh, the body is handed over to the Arabs, the days of the Prophet Muhammad as well. Some Muslims are Arabs that the ministry of Islamic not easy to satisfy yourself. Some people wanted to pray through the night without sleep. Some people like fasting for a lifetime. Some will not marry


When the Prophet Muhammad saw it. He said to his disciples with the words on the balance of life. "If you do that. Your eyes are hollow, hollow, and your body is tired indeed of all the rights of the people (to get the rest) and their families have the right (to be raised and joy) of you. so fasting is a day of fasting and a day. Arise and pray and give some nights sleep some nights. "



Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason