หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ดอกเบี้ย สงครามกับพระเจ้า

บรรจง บินกาซัน  

ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเกรงกลัวพระเจ้าและจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจได้รับถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง  แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำเช่นนั้น จงรู้ไว้ว่าสูเจ้ากำลังทำสงครามกับพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์” (กุรอาน 2:278-279)

ดอกเบี้ยเป็นที่ต้องห้ามตั้งแต่สมัยโมเสสและได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่า หลังจากนั้น  เยซัสไครสต์ได้มายืนยันธรรมบัญญัติเดิมของโมเสส  ดังนั้น ชาวยิวและชาวคริสเตียนจึงถูกห้ามเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย  

หลังสมัยเยซัสไครสต์  กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยยังเป็นที่ปฏิบัติโดยนายทุนเงินกู้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว  นบีมุฮัมมัดจึงได้มายืนยันธรรมบัญญัติเดิมที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสและเยซัสไครสต์

เดิมที  ดอกเบี้ยอัตราขูดรีดที่เรียกเก็บจากคนจนถูกเรียกในภาษาอังกฤษว่า usury เพราะนายทุนเงินกู้มีความเสี่ยงสูงในการที่จะไม่ได้เงินต้นคืน  แต่เมื่อโลกเจริญขึ้น พ่อค้าและนักธุรกิจมีความสามารถในการส่งเงินต้นคืน  อัตราดอกเบี้ยจึงต่ำลงเพราะนายทุนเงินกู้มีความเสี่ยงน้อย  ดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากนักธุรกิจจึงถูกเรียกว่า interest 

ทั้ง usury และ interest  ถูกเรียกในภาษาอาหรับว่า “ริบา” ซึ่งหมายถึง “ส่วนเกิน”  ในทางการเงินมันหมายถึงส่วนที่เกินจากเงินต้นที่กู้ยืม  ในการค้าขายสินค้า  น้ำที่ถูกเติมไปในน้ำนมเพื่อให้มีประมาณมากขึ้นหรือน้ำที่ฉีดเข้าไปในเนื้อไก่เพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้นก็คือ “ริบา” นั่นเอง

พระเจ้าเป็นผู้ทรงยุติธรรมและพระองค์ต้องการให้คุณสมบัติแห่งความยุติธรรมปรากฎขึ้นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกด้านเพื่อความสงบและความเจริญของมนุษย์เอง  ดังนั้น พระเจ้าจึงห้าม “ริบา” เพราะมันเป็นความไม่ยุติธรรม

แต่ “ริบา” มีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย  หนึ่งในนั้นคือการแลกเปลี่ยนสิ่งที่เหมือนกันโดยมีน้ำหนักหรือจำนวนที่ต่างกัน  นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่า “ทองกับทองแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากัน เงินกับเงินแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากันและแลกเปลี่ยนกันทันที” ดังนั้น ส่วนเกินที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เหมือนกันจึงถูกเรียกว่า “ริบา” 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  การค้าขายระหว่างประเทศเริ่มเจริญและขยายตัว  ประเทศต่างๆจึงต้องการสกุลเงินที่ทุกประเทศยอมรับ  ทุกประเทศจึงตกลงที่จะใช้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯเพื่อความสะดวกในการแทนมูลค่าและการโอนชำระเงิน  ดังนั้น ประเทศต่างๆจึงไปประชุมกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมป์ไชร์ในสหรัฐอเมริกาและตกลงกันว่าจะให้ทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ

หลังจากนั้น  โดยข้อตกลงนี้  ใครหรือประเทศใดที่ต้องการเงินดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องนำทองคำ 1 ออนซ์ไปฝากไว้ที่ธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับอภิสิทธิ์ทางกฎหมายในการพิมพ์ธนบัตร  แต่เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ไม่ใช่ธนาคารกลางของรัฐบาลสหรัฐฯ  หากแต่เป็นของกลุ่มนายทุนและนายธนาคารจากประเทศยุโรปที่รวมหัวกันไปตั้งขึ้นในสหรัฐฯและนายทุนเหล่านี้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯเองก็กู้เงินจากธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟในการทำสงครามและโครงการใหญ่ๆ 

หลังจากทำข้อตกลงกันแล้ว  ปรากฏว่าธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ได้แอบพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐเพิ่มเติมจากที่ตกลงกันไว้  ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาจึงเป็น “ริบา” ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยน  ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไป  ใครจะเอา 35 ดอลล่าร์สหรัฐไปแลกทองคำ 1 ออนซ์กลับมาจึงทำไม่ได้เพราะธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐมีมากกว่าทองคำ  ในที่สุด ในปี 1972 รัฐบาลสหรัฐฯก็ประกาศห้ามนำเงินดอลล่าร์สหรัฐมาแลกทองคำและประกาศพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาโดยไม่ต้องอาศัยทองคำหนุนหลัง 

นี่คือการปล้นทองจากประเทศต่างๆทั่วโลกโดยนายธนาคารอาศัยผู้นำประเทศมหาอำนาจเป็นเครื่องมือ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ดอลล่าร์สหรัฐกลายเป็นกระดาษชำระก้นแทนชำระหนี้และถูกประเทศต่างๆปฏิเสธ

จอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นชาวแคธอลิกที่เคร่งครัดในศาสนาคริสต์  เมื่อเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ  เขาต้องการที่จะให้กระทรวงการคลังของรัฐบาลสหรัฐเป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐเองและได้ลงนามในคำสั่งบริหารแล้ว  แต่ยังไม่ทันลงมือทำ  เขาก็ถูกลอบสังหารเสียก่อน เพราะความริเริ่มของเขาเป็นการขัดขวางอำนาจการยึดครองของดอลล่าร์สหรัฐที่พิมพ์โดยเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ 

จึงไม่แปลกอะไรที่รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่พอใจผู้นำรัสเซีย ผู้นำจีนและผู้นำประเทศอื่นๆที่คิดจะเลิกใช้ดอลล่าร์สหรัฐ  นายธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ผู้มีอำนาจที่แท้จริงจึงผลักดันรัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรปที่เป็นลูกหนี้ตนให้หาทางกำจัดรัสเซียและจีนที่มีแสนยานุภาพทางทหารและมีอาวุธนิวเคลียร์

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆรัก โลภ โกรธ หลง   ถ้ามหาเศรษฐีบูชาเงินเป็นพระเจ้าและคิดจะทำลายคู่แข่ง  สงครามกับพระเจ้าคงเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น แต่พระเจ้าไม่ได้ลงมาทำสงครามกับมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  พระองค์จะให้มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ทำกันเอง

 

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน

https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

 

| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |



[ Translate by Google Translate ]

Interest War with God


Banjong Bingasan


In the Quran there is a passage that says “You who have believed Fear the Lord and forsake the interest that you might receive if you were true believers. but if you do not do so Know that you are at war with God and His Messenger” (Quran 2:278-279).


Interest has been forbidden since the time of Moses and is recorded in the Old Testament Bible. After that, Jesus Christ confirmed the Old Law of Moses. Therefore, Jews and Christians were forbidden from dealing with interest.


After Jesus Christ Interest-related activities were also practiced by loan capitalists, mostly Jews. Prophet Muhammad therefore came to confirm the original law that God gave to Moses and Jesus Christ.


Originally, the interest rate of exploitation charged to the poor was called usury in English because the loan capitalist had a high risk of not repaying the principal. But when the world grows Merchants and businessmen have the ability to remit principal. The interest rate is therefore lower because the loan capitalist has less risk. The interest charged to the businessman is called interest.


Both usury and interest are referred to in Arabic as “riba,” which means “surplus.” In finance, it refers to the excess of the principal borrowed. in the trade The water that is added to the milk to make it more bulky or the water that is injected into the chicken to give it more weight is the riba.


God is just and he wants the quality of justice to be present in every aspect of human life for the peace and prosperity of man himself.


But “riba” has many forms and methods. One of them is exchanging identical things with different weights or amounts. Then the Prophet Muhammad said: “Gold and gold exchanged must have the same weight. Money and money exchanged must have equal weight and be exchanged promptly.” Therefore, the surplus resulting from the exchange of identical items is called “riba”.


after World War II International trade began to flourish and expand. Countries therefore need a currency that is accepted by all countries. All countries agreed to use the US dollar for ease of representation and transfer of payments, so the countries met in Bretton Wood. New Hampshire in the United States and agreed that 1 ounce of gold is worth $ 35.


Thereafter, by this agreement Anyone or any country that wants US dollars must deposit one ounce of gold in the Federal Reserve of the United States of America, which has the privilege of printing banknotes, but the Federal Reserve is not the Federal Reserve Bank of the United States of America. It belongs to a group of European capitalists and bankers conspired to set up in the United States, and these capitalists are the largest creditors to many European governments. including the United States Because the US government borrowed money from Federal Bank. Serve in war and major projects


After making an agreement It appears that the Federal Reserve Bank has secretly printed more US dollar bills in addition to the agreement. The additional US dollar banknotes are the "riba" produced by the exchange, so over time, who will exchange 35 US dollars for 1 ounce of gold back cannot be done because of the banknotes. The U.S. dollar is more than gold. Finally, in 1972, the U.S. government banned the exchange of U.S. dollars for gold and announced the printing of dollars without gold backing.


This is the heist of gold from countries around the world where bankers rely on the leaders of superpowers as a tool. And is the reason why the US dollar becomes toilet paper instead of paying debts and being rejected by other countries.


John F. Kennedy was a devout Catholic. When he was the president of the United States He wants the U.S. Treasury to be the sole publisher of the U.S. dollar notes and has signed an executive order. but still not able to do it He was assassinated before. Because his initiative was to thwart the dominance of the US dollar printed by the Federal Reserve.


It is therefore not surprising that the US government is dissatisfied with the Russian leader. Leaders of China and other countries who are thinking of abandoning the US dollar. Federal reserve bankers, real powers, are pushing the US government and debtor European governments to find a way to get rid of the militarized and nuclear-armed China and Russia.


Human history revolves around love, greed, anger, and delusion. A war with God would be inevitable. But God did not come down to war against man himself. He will let human beings do it themselves.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น