บรรจง บินกาซัน
เมื่ออับราฮัม(นบีอิบรอฮีม)ได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าให้สร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺหรือบัยตุลลอฮฺ(บ้านของพระเจ้า)ในหุบเขาบักก๊ะฮฺเพื่อเป็นสถานที่เคารพสักการะพระองค์ เขากับอิสมาอีลบุตรชายหัวปีได้ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์จนเสร็จสิ้น
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว อับราฮัมได้แสดงความถ่อมตนด้วยการวิงวอนต่อพระเจ้าให้รับงานที่เขาทำตามคำบัญชาของพระองค์ ไม่เพียงเท่านั้น ในเมื่อพระเจ้าต้องการให้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นสถานที่เคารพสักการะพระองค์ แต่เขาไม่รู้วิธี เขาจึงวิงวอนต่อพระองค์ให้บอกถึงวิธีการที่พระองค์ทรงประสงค์
พระเจ้าจึงได้บอกวิธีการละหมาดและการทำฮัจญ์แก่เขา และสั่งเขาให้ออกไปเรียกร้องเชิญชวนผู้คนมาแสดงความเคารพสักการะพระองค์ยังสถานที่แห่งนี้ ในเวลานั้น แผ่นดินอาหรับและหุบเขาบักก๊ะฮฺแทบไม่มีผู้คนให้เห็น อับราฮัมจึงสงสัยว่าเขาจะไปเชิญชวนใครมายังสถานที่แห่งนี้ แต่พระเจ้าได้บอกเขาว่าเขามีหน้าที่เชิญชวน ส่วนเรื่องจะให้ใครมายังสถานที่แห่งนี้เป็นเรื่องของพระองค์
นับแต่นั้นมา เมื่อหุบเขาบักก๊ะฮฺมีบ่อน้ำซัมซัมและมีผู้คนเข้ามา ชุมชนก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นเมืองมักก๊ะฮฺในที่สุด
เมื่ออับราฮัมจากไป อิสมาอีลได้สืบทอดภารกิจของอับราฮัมในการสอนผู้คนให้ละหมาดและทำพิธีฮัจญ์ แต่เมื่ออิสมาอีลจากไป ชาวอาหรับได้หลงลืมการเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียวที่อับราฮัมสอนไว้จนถึงกับนำเอารูปเคารพมากมายมาตั้งรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและกราบไหว้บูชารูปเคารพเหล่านั้นแทนพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีการทำฮัจญ์ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
เมื่อเดือนทำฮัจญ์มาถึง ชาวอาหรับเผ่าใหญ่พร้อมกับเผ่าบริวารและเผ่าพันธมิตรจะมาตั้งค่ายพักอยู่รอบเมืองมักก๊ะฮฺโดยแยกจากกัน เมื่อการทำฮัจญ์เริ่มขึ้น หัวหน้าเผ่าต่างๆจะแข่งขันกันแสดงความโอบอ้อมอารีเพื่อให้ผู้คนร่ำลือว่าตัวเองเป็นคนใจบุญโดยการเอาหม้อขนาดใหญ่มาตั้ง หลังจากนั้นก็เชือดอูฐและน้ำเนื้อไปปรุงในหม้อเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้มาทำฮัจญ์ ส่วนเลือดของอูฐ ชาวอาหรับจะนำไปสาดบนกำแพงก๊ะอฺบ๊ะฮฺด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าต้องการเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ตัวเองเชือดพลี ในช่วงพิธีฮัจญ์ มักก๊ะฮฺจะเป็นเหมือนแหล่งเริงรมย์ที่เต็มไปด้วยการร้องเพลง การดื่มสิ่งมึนเมา การผิดประเวณีและกิจกรรมที่เสื่อมศีลธรรมโดยไม่มีใครนึกถึงพระเจ้าที่แท้จริง
พิธีเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺซึ่งถือเป็นพิธีสำคัญถูกลดความสำคัญลงมาจนเป็นเหมือนกับเวทีแสดงละครสัตว์ ผู้หญิงและผู้ชายจากบางเผ่าเดินเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺในสภาพเปลือยกายโดยกล่าวว่า “เราจะกลับไปหาพระเจ้าในสภาพเดียวกับที่แม่ของเราคลอดเรามา” ในการละหมาดและการวิงวอนขอพรมีการปรบมือ ผิวปากและเป่าเขาสัตว์
แม้แต่คำกล่าวเริ่มต้นการทำพิธีฮัจญ์ซึ่งมุสลิมกล่าวในปัจจุบันนี้ว่า “ลับบัยกัลลอฮุมม่ะ ลับบัยก์ ลับบัยกะลาชะรีกะลับบัยก์” (ข้าพระองค์มาอยู่ต่อหน้าพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์) ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามที่มาทำฮัจญ์ได้บิดเบือนถ้อยคำให้มีความหมายว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นภาคีกับพระองค์ยกเว้นผู้ที่พระองค์ทรงอนุญาต พระองค์เป็นนายของเขาและเป็นนายของสิ่งที่เขาครอบครอง”
ความเชื่อในโชคลางไสยศาสตร์ทำให้ชาวอาหรับที่ออกจากบ้านเพื่อไปทำฮัจญ์แล้วจะไม่กลับเข้าบ้านทางประตูหน้า แต่จะเข้าทางประตูหลัง ระหว่างการเดินทาง การค้าขายเพื่อยังชีพถือเป็นที่ต้องห้าม บางคนละเว้นจากการกินและการดื่มระหว่างการทำฮัจญ์โดยถือว่าการทำเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติศาสนกิจ บางคนไม่พูดกับใครเลยตั้งแต่เริ่มต้นจนจบพิธีฮัจญ์
พิธีฮัจญ์ที่ถูกบิดเบือนไปจากเดิมหลังสมัยอิสมาอีลดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตนำคำสอนของพระเจ้ามายังมนุษยชาติเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว การทำพิธีฮัจญ์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าโดยนบีมุฮัมมัดได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างเพื่อให้สาวกผู้ศรัทธาปฏิบัติสืบต่อไปจนถึงวันสิ้นโลก
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
Hajj : Origin and Practice Before Islam
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น