หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ขี้ทับกันเป็นบาป…!


บรรจง บินกาซัน

สัจธรรมมีหนึ่งเดียวและเป็นสิ่งสากลในทุกที่  แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  สัจธรรมได้ถูกความเชื่อและขนบประเพณีท้องถิ่นปกปิดจนคนมองไม่เห็นและยึดเอาสิ่งที่ปกปิดสัจธรรมเป็นสรณะ

ในสมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  พ.ศ.2514  ผมมีโอกาสร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนากับสมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมที่หมู่บ้านเจ๊ะเด็ง ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส  ก่อนเข้าไปในพื้นที่ พวกเราชาวค่ายต้องเข้าฟังการบรรยาสรุปเกี่ยวกับผู้คนและวัฒนธรรมที่นั่น  ผมจำได้แม่นว่าผู้บรรยายสรุปให้เราฟังคือท่านศุภโยค พาณิชวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  คำพูดตอนหนึ่งซึ่งทำให้ผมสะดุดใจก็คือ “คนที่นี่เชื่อว่าขี้ทับกันเป็นบาป”  แต่ผมก็ไม่คิดอะไร

หนึ่งในแผนงานค่ายอาสาตลอดเวลาสามสิบวันในเดือนเมษายนคือการสร้างอาคารเรียนขนาดสี่ห้องและสนามเด็กเล่น  นอกจากนี้แล้ว ยังสร้างส้วมซึมสาธารณะอีกสามห้องที่พื้นเป็นคอนกรีต ผนังและหลังคาเป็นสังกะสี  เช่นเดียวกับส้วมของชาวค่าย

ปีต่อมาในเดือนเดียวกัน  ผมได้มีโอกาสกลับไปติดตามผลงานที่ได้ทำไว้  โรงเรียนและสนามเด็กเล่นข้างโรงเรียนถูกใช้  แต่ส้วมซึมที่เราสร้างไว้ยังใหม่เหมือนเดิม  ไม่มีร่องรอยการใช้งานแต่อย่างใด  ผมจึงเข้าใจคำพูดในคำบรรยายสรุปของท่านผู้ว่าฯก่อนลงพื้นที่  เมื่อถามคนที่นั่นว่าชาวบ้านถ่ายอุจจาระกันอย่างไร  ผมได้คำตอบว่าชาวบ้านจะถือจอบไปในสวนหรือป่าเพื่อขุดหลุมและถ่ายอุจจาระลงไปในหลุม  วันรุ่งขึ้นก็จะเปลี่ยนหลุมถ่ายอุจจาระใหม่

แต่ความเชื่อว่าขี้ทับกันเป็นบาปนี้มาจากไหน?  ไม่ใช่คำสอนและความเชื่อของอิสลามอย่างแน่นอนแม้คนในท้องถิ่นที่นี่เป็นมุสลิมก็ตาม  เพราะเมื่อพันปีก่อน ขณะที่อิสลามเป็นอารยธรรมรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินสเปน ซีเรีย  อิรักและตุรกี  ห้องน้ำห้องส้วมสาธารณะเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างดาษดื่นเพราะอิสลามมีคำสอนว่าความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา 

หลังจบการศึกษาหลายปี  ผมได้มีโอกาสไปยังเมืองเดลฮีซึ่งเป็นเมืองหลวงของอินเดีย  ขณะนั่งรถไปตามถนน  ผมเห็นชาวอินเดียนั่งยองๆเรียงรายถ่ายอุจจาระอยู่ริมถนนและหันหน้ามาทางถนนโดยไม่เคอะเขิน  จึงทบทวนประสบการณ์ในตอนไปทำงานค่ายอาสาพัฒนาเมื่อสบกว่าปีก่อน

กลับมาบ้านได้สักพัก  มีโอกาสได้ดูสารคดีที่ฝรั่งถ่ายทำในอินโดนีเซีย แต่จำไม่ได้ว่าที่ใด  เห็นชาวอินโดนีเซียนั่งเรียงรายถ่ายอุจจาระลงในคลอง  จึงศึกษาค้นคว้าและได้รู้ว่าความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อของชาวฮินดู

เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆทำให้รู้ว่าศาสนาฮินดูเกิดในอินเดียและแพร่ขยายมายังหมู่เกาะอินโดนีเซียก่อนหน้าศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์และอิสลาม  ศาสนาฮินดูมาลงหลักปักฐานเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมถึงเขมร ลาว ไทยและมาเลเซีย  ด้วยเหตุนี้  ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อจึงตกทอดมายังผู้คนและฝังรากลึกมาจนถึงปัจจุบัน  

เนื่องจากศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมากมาย ชาวพุทธศาสนิกจึงซึมซับเราเอาพิธีกรรมต่างๆของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาปฏิบัติ   เมื่ออิสลามมายังอินโดนีเซียและกษัตริย์ผู้ปกครองอินโดนีเซียองค์หนึ่งเข้ารับอิสลาม ประชาชนจึงเข้ารับตามด้วย  แต่เนื่องจากอิสลามห้ามเคารพกราบไหว้บูชารูปเคารพเด็ดขาดและมีการปฏิบัติศาสนกิจของตัวเองเป็นการเฉพาะที่ต้องใช้ภาษาอาหรับ  ดังนั้น ภาษาอาหรับจึงเข้ามาแทนที่ภาษาของชาวฮินดู

อย่างไรก็ตาม  ชาวมุสลิมอินโดนีเซียที่ยังสลัดพิธีกรรมในโอกาสต่างๆของชาวฮินดูไม่หลุด เช่น พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่  พิธีแต่งงาน  การทำบุญให้คนตายก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่  เพียงแต่เปลี่ยนภาษาในการทำพิธีมาเป็นภาษาอาหรับ

เรื่องขี้พาให้ผมเข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเพื่อนมนุษย์ได้เยอะ




ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]


Pissing on top of each other is a sin…!

Banjong Binkasan

There is one truth and it is universal everywhere. But throughout the past period The truth has been concealed by local beliefs and traditions to the point where people cannot see it and take refuge in what conceals the truth.
When I was a first-year student Thammasat University, 1971, I had the opportunity to travel to do volunteer development camp activities with the Thai Muslim Student Association at Je Deng Village, Lo Jut Subdistrict, Waeng District, Narathiwat Province, before entering the area. We campers got to attend a briefing about the people and culture there. I remember clearly that the person who briefed us was Mr. Supayok Phanitchawit, Governor of Narathiwat Province. One quote that stood out to me was, “People here believe that piling up poop on top of each other is a sin,” but I didn't think anything of it.
One of the plans for the thirty-day volunteer camp in April is the construction of a four-room classroom building and playground. In addition, Three more public cesspools with concrete floors were also built. The walls and roof are galvanized. The same goes for camper toilets.
A year later in the same month I had the opportunity to go back and follow up on the work that I had done. The school and playground next to the school were used. But the cesspool we built is still as new as before. There are no traces of use at all. So I understood the words in the governor's briefing before going to the area. When I asked the people there how the villagers defecated. I was told that villagers would carry a shovel into the garden or forest to dig a hole and defecate into the hole. The next day the defecation pit will be changed to a new one.
But where does this belief that piling up poop is a sin comes from? It is definitely not Islamic teachings and beliefs, even though the local people here are Muslim. Because a thousand years ago While Islam was a civilization that flourished in Spain, Syria, Iraq and Türkiye. Public restrooms are common because Islam teaches that cleanliness is part of the faith.
Many years after graduation I had the opportunity to go to Delhi, the capital of India. While driving along the road I saw Indians squatting and defecating on the side of the road, facing the road without awkwardness. Therefore, I reviewed my experiences from working in a volunteer development camp more than a year ago.
Came home for a while. Had the opportunity to watch a documentary that foreigners filmed in Indonesia. But I can't remember where. Saw Indonesians sitting lined up defecating into the canal. So he researched and learned that this kind of belief is the belief of Hindus.
Upon further study, it was learned that Hinduism was born in India and spread to the Indonesian islands before Buddhism. Christianity and Islam Hinduism settled down into a kingdom with a wide territory covering Cambodia, Laos, Thailand and Malaysia. As a result, customs, traditions, culture and beliefs were passed down to the people and are deeply rooted until the present day.
This is because Hinduism has many rituals. Buddhists therefore absorbed us and practiced various ceremonies of the Brahmin-Hindu religion. When Islam came to Indonesia and one of the Indonesian rulers converted to Islam. The people therefore accepted it as well. But since Islam strictly forbids the worship of idols and its own religious practice requires the use of Arabic, Arabic has replaced the language of Hindus.
However, Indonesian Muslims who still can't shake off Hindu rituals for various occasions, such as housewarming ceremonies, wedding ceremonies, and making merit for the dead, still practice them. Just change the language of the ceremony to Arabic.
This story has helped me understand a lot about the culture and way of life of my fellow humans.


Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น