เรื่องไม่ลับ แต่คนไม่รู้
ดอกเบี้ยคือความไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หากดอกเบี้ยเฟื่องฟูในสังคมใด สังคมนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม และเมื่อความไม่เป็นธรรมอยู่ที่ไหน มันจะนำความหายนะมาสู่ที่นั่น
นี่คือเหตุผลที่ศาสดาคนสำคัญของโลกเช่นโมเสสและพระเยซูได้สั่งห้ามการให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย หลักฐานคำสั่งห้ามของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้สามารถหาพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล
ปรัชญาเมธีชาวกรีกอย่างเพลโตและอริสโตเติลก็กล่าวประณามดอกเบี้ยไว้เช่นกัน
หลังสมัยพระเยซูประมาณ 600 ปี นบีมุฮัมมัดได้มายืนยันคำสั่งห้ามของศาสดาและปรัชญาเมธีคนก่อนๆเพราะคำสอนของศาสดาคือวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริงตราบนานจนถึงวันสิ้นโลก
นอกจากยืนยันความจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในสังคมการค้าในแผ่นดินอาหรับยังได้ขยายความจริงเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยออกไปอีกว่าดอกเบี้ยมีหลากหลายรูปแบบ ดอกเบี้ยมิได้อยู่ในรูปของสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเท่านั้น แต่ยังอยู่ในรูปของส่วนลดหรือส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าที่เหมือนกันอีกด้วย ท่านกล่าวว่า :-
“อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนทองคำกับทองคำเว้นเสียแต่ว่ามันมีน้ำหนักเท่ากัน อย่าขายหรือแลกเปลี่ยนเงินกับเงินเว้นเสียแต่จะมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเงินหรือขายเงินเพื่อทองได้ตามที่ท่านต้องการ.....การขายทองเพื่อทองเป็นดอกเบี้ยยกเว้นถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกันทันทีจากมือสู่มือและมีจำนวนเท่ากัน”
ท่านพูดเช่นนั้นเพราะในสมัยของท่าน โลกใช้เหรียญกษาปณ์ทองคำซึ่งเรียกว่า “ดีนาร์”และเหรียญเงินที่เรียกว่า “ดิรฺฮัม” เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย ในยุคต้นอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินทั้งสองนี้อยู่ที่ 7 ดีนาร์เท่ากับ 10 ดิรฺฮัม เงินสองสกุลนี้เป็นสกุลเงินหลักของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลามมานานนับหลายร้อยปี
เมื่ออาณาจักรออตโตมานเติร์กล่มสลาย โลกเข้าสู่ยุคทันสมัย ชาติตะวันตกได้นำเอาเงินกระดาษที่เรียกว่า“ธนบัตร”เข้ามาแทนที่เหรียญกษาปณ์ทองคำเพื่อการพกพาได้สะดวก ส่วนเงินโลหะไม่ได้รับการถือว่าเป็นวัตถุคงค่าเท่าทองคำ แต่การจะพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้แทนทองคำต้องมีทองคำหนุนหลังเพื่อให้ธนบัตรที่พิมพ์ออกมามีค่าสามารถแลกเปลี่ยนโลหะทองคำได้พอดี
หลังสงครามโลกครั้งสอง ประเทศต่างๆต้องการค้าขายกับสหรัฐ เงินดอลล่าร์จึงได้กลายเป็นสกุลเงินสากลของโลก เมื่อการค้าต้องใช้เงิน ใน ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) ประเทศต่างๆจึงได้ตกลงกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมไชร์ของสหรัฐฯว่าราคาทองคำ 1 ออนซ์มีค่าเท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ ประเทศใดที่จะออกสกุลเงินของตัวเองก็ต้องเทียบมูลค่าดังกล่าวเป็นมาตรฐาน
เมื่อโลกทำการค้าโดยอาศัยสกุลเงินดอลล่าร์อ้างอิงได้ไม่นาน ค.ศ.1971 นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำที่ตกลงไว้กับต่างชาติตามลำพังเพียงฝ่ายเดียว นับแต่นั้นมา สหรัฐฯได้ออกธนบัตรดอลล่าร์ตามความต้องการของเศรษฐกิจโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง ยิ่งพิมพ์ออกมามาก สกุลเงินดอลล่าร์ก็ยิ่งมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.2010 ทองคำปิดราคาที่ 1,420 ดอลล่าร์ต่อหนึ่งออนซ์
ผลงานที่นายริชาร์ด นิกสันทำไว้ในเรื่องนี้ได้ทำให้กลุ่มนายทุนการเงินในวอลสตรีทที่กุมหัวใจเศรษฐกิจของสหรัฐไว้ตั้งแต่มีการก่อตั้งธนาคารกลางของสหรัฐใน ค.ศ.1912 แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก
ด้วยเงินกระดาษดอลล่าร์ที่เสื่อมค่าลงทุกวันเหมือนเงินกงเต็กนี้เองที่รัฐบาลสหรัฐนำไปซื้อรัฐบาลและครอบครองทรัพยากรในประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นการแผ่ขยายอำนาจของตน
เมื่อเงินดอลล่าร์สหรัฐเสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ ชาติยุโรปจึงหันมาร่วมกันออกสกุลเงินยูโรของตนเอง ดังนั้น มูลค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐยิ่งเสื่อมลงเพราะถ้าธนบัตรสกุลใดไม่เป็นที่ยอมรับ ธนบัตรนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษที่หมดอำนาจบงการและการครอบครอง ทางออกก็คือการทำให้เงินดอลล่าร์เป็นที่ยอมรับต่อไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวเนซูเอลาจึงมีการก่อจลาจลประท้วงประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซเมื่อเขาประกาศว่าจะขายน้ำมันของชาติด้วยเงินดอลล่าร์เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่งจะใช้เงินสกุลอื่น
เหตุผลที่สหรัฐโจมตีและยึดครองอิรักมิใช่เพราะซัดดัม ฮุสเซนเป็นเผด็จการแต่อย่างใด เพราะสหรัฐเองเคยสนับสนุนอิรักให้โจมตีอิหร่านหลังการปฏิวัติของอิมามโคมัยนี แต่เป็นเพราะซัดดัมประกาศว่าจะเลิกซื้อขายน้ำมันของอิรักด้วยเงินดอลล่าร์ต่างหาก การบุกโจมตีและยึดอิรักจึงเกิดขึ้นเพื่อปล้นบ่อน้ำมันของอิรักไปขายด้วยเงินดอลล่าร์สหรัฐต่อไปนั่นเอง
การโจมตีลิเบียและสังหารประธานาธิบดีมุอัมมาร์ กอซซาฟีอย่างเหี้ยมโหดและความพยายามจะโจมตีอิหร่านก็เป็นเพราะเหตุผลทางการเงินเช่นเดียวกัน เพราะอิหร่านได้ประกาศว่าจะขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่นที่มิใช่ดอลล่าร์สหรัฐ
ขณะนี้ เศรษฐกิจของยุโรปกำลังร่อแร่ เงินยูโรที่เป็นคู่แข่งของเงินดอลล่าร์สหรัฐกำลังมีปัญหา จีนและรัสเซียจึงนำเงินรูเบิลและเงินหยวนออกสู่ระบบเศรษฐิจการเงินของโลกในขณะที่โลกมุสลิมก็มีการเสนอให้นำระบบเงินดีนาร์ทองคำกลับมาเป็นสกุลเงินของโลกอีกครั้งหนึ่ง
การต่อสู้กันของสกุลในสองค่ายมหาอำนาจนี้ไม่ต่างอะไรจากช้างสารชนกัน ชาวโลกที่เป็นหญ้าแพรกเท่านั้นที่แหลกราญ
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนลงหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ "โลกวันนี้" ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน 2555
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น