คนป่วยของโลก
ถ้าเอ่ยถึงคำว่า “Sick man of Europe” (คนป่วยของยุโรป) คนที่เรียนประวัติศาสตร์ย่อมรู้ว่าคำนี้ถูกผู้นำชาติยุโรปนำไปใช้เรียกอาณาจักรออตโตมานตอนกำลังจะล่มสลายเพราะความฟอนเฟะภายในและการพ่ายแพ้สงครามภายนอก ปัจจุบัน คำนี้อาจนำไปใช้กับกรีซก็ได้ เพราะกรีซกำลังเป็นคนป่วยหนักของยุโรปและอิตาลีกำลังติดเชื้ออยู่
แต่หากจะพูดถึงระดับโลกแล้ว ตอนนี้ เราอาจเรียกสหรัฐอเมริกาว่าเป็น “Sick man of the world” (คนป่วยของโลก)ก็ได้ เพราะขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในอาการป่วยร่อแร่ทางเศรษฐกิจจนรัฐบาลสหรัฐต้องขออนุมัติจากรัฐสภาในการขยายเพดานหนี้เพิ่มเติม
แม้จะเป็นชาติมหาอำนาจทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก แต่สหรัฐอเมริกาก็เป็นชาติมหาอำนาจแห่งหนี้มากที่สุดในโลกเช่นกัน
ชีวิตของคนเป็นหนี้ไม่เคยมีความสุขฉันใด ชาติที่เป็นหนี้ก็ไม่มีความสุขฉันนั้น จะต่างกันก็ตรงที่ในระดับบุคคลใครเป็นคนก่อหนี้ คนผู้นั้นก็ต้องใช้หนี้เอง หากไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็ต้องถูกยึดทรัพย์สินหรือถูกฟ้องล้มละลาย หมดความน่าเชื่อถือและหนทางทำมาหากินในที่สุด
ส่วนหนี้ระดับชาตินั้น รัฐบาลเป็นผู้ก่อ ครบวาระเมื่อใดก็จากไป ทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้ประชาชนเป็นผู้ชดใช้แทนในรูปของการจ่ายภาษี ยิ่งเป็นหนี้มาก รัฐบาลชุดใหม่มาก็ต้องมาหารายได้ให้มากขึ้น หนทางใช้หนี้ก็คือเก็บภาษีเพิ่มและตัดงบประมาณใช้จ่ายด้านสวัสดิการลง นั่นก็คือการขูดรีดประชาชนนั่นเอง
ยิ่งรัฐบาลต้องกู้เงินมาใช้หนี้เดิม ประชาชนของชาตินั้นยิ่งต้องมีความทุกข์เพิ่มขึ้น เพราะประชาชนยิ่งต้องจ่ายภาษีมากขึ้นและยิ่งได้รับสวัสดิการน้อยลง นี่คือสภาพของชาติมหาอำนาจในปัจจุบันซึ่งไม่เหมือนกับหนังฮอลลีวูด
หนี้ที่สหรัฐก่อไว้นั้นส่วนใหญ่แล้วถูกนำไปใช้เป็นงบประมาณทหารเพื่อการรุกรานชาติอื่น เพราะสงครามสามารถกระตุ้นอุตสาหกรรมอาวุธที่ก่อให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐอเมริกาได้อย่างดี สงครามสงบหรือลดน้อยลงเมื่อใดก็มีผลต่อการจ้างงานและการเก็บภาษีในสหรัฐอเมริกาเมื่อนั้น สหรัฐอเมริกาจึงต้องหาทางสร้างสงครามหรือเข้าไปมีส่วนในการสงครามทั่วโลกมาตลอด
วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่สภาทั้งสองของสหรัฐอนุมัติการขอขยายเพดานหนี้จึงเป็นวันประกาศความอัปยศลดความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐอีกวาระหนึ่งหลังจากที่ชาวอเมริกันฉลองวันชาติ 4 กรกฎาคมได้เพียงเดือนเดียว เพราะคนเป็นหนี้ที่ยังใช้ไม่หมดและยังต้องหาทางกู้หนี้มาเพื่อใช้หนี้อีกนั้นย่อมได้รับความน่าเชื่อถือลดน้อยลง สถาบัน เอส แอนด์ พีซึ่งเป็นบริษัทจัดลำดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศต่างๆประกาศเรื่องนี้ออกมาเอง
ความจริงแล้ว ความน่าเชื่อถือทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มลดน้อยถอยลงมาตั้งแต่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำในการพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์ในปี ค.ศ.1972 เพราะเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาโดยไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง มูลค่าของสกุลเงินดอลล่าร์ก็เริ่มเสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือมาตั้งแต่นั้น ด้วยเหตุนี้ ชาติยุโรปจึงออกสกุลเงินยูโรดอลล่าร์มาใช้ในยุโรปแทน ร้านรับแลกเงินบางแห่งในยุโรปไม่รับแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐมาหลายปีแล้ว และล่าสุดบริษัทท่องเที่ยวบางแห่งของเม็กซิโกประกาศไม่รับเงินดอลล่าร์สหรัฐเช่นกัน บางประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ขายน้ำมันคิดจะเลิกใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐในการซื้อขาย อย่างเช่นอิรักและลิเบีย จึงต้องประสบชะตากรรมอย่างที่เราเห็นกัน
หนทางหาเงินของรัฐบาลสหรัฐขณะนี้ดูทีท่าว่าจะตีบตัน สหรัฐขาดดุลกับจีนจำนวนมหาศาลเพราะสินค้าจีนเข้าไปยึดครองตลาดคนระดับล่างของสหรัฐจนถึงขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐต้องบากหน้าไปขอร้องจีนให้ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้น แต่ก็ไร้ผล
หนทางต่อไปก็คือการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรขายทั่วโลก แต่ชาติไหนจะให้รัฐบาลสหรัฐกู้ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ถ้าจะได้เงินกู้ รัฐบาลสหรัฐก็ต้องเอาประเทศสหรัฐและชาวอเมริกันไปจำนอง หมดปัญญาใช้หนี้เมื่อใด ชาติก็ถูกยึดอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องใช้อาวุธเหมือนกับที่สหรัฐทำกับชาติอื่น
อีกทางหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐเคยทำมาและทำมาตลอดก็คือการกู้เงินจากธนาคารกลางหรือเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ซึ่งเป็นบรรษัทการเงินของนายทุนเงินกู้ระดับโลก แต่ยิ่งรัฐบาลสหรัฐกู้จากสถาบันนี้ ปัญหาก็จะยิ่งมากขึ้นเพราะเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ จะออกธนบัตรที่ไม่มีทองคำหนุนหลังเพิ่มขึ้น สกุลเงินดอลล่าร์ก็จะยิ่งหมดความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
คนมีงานทำและมีเงินเดือนกิน แต่เมื่อเป็นหนี้พนันยังฉกชิงวิ่งราว ทุจริตคดโกงหรือไม่ก็ปล้นเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ เมื่อคนทั่วไปทำได้ รัฐบาลก็สามารถทำได้ในรูปของการอายัดหรือยึดเงินขององค์กรและรัฐบาลชาติต่างๆโดยมีข้ออ้างสารพัดที่สร้างขึ้นมาบังหน้า
เข้าตาจนเมื่อใด หนทางสุดท้ายก็คือการปล้นหรือยึดทรัพยากรธรรมชาติอย่างที่ทำในอิรักหรือประเทศอื่น หรือไม่ก็ทำสงครามเพื่อกลบปัญหาภายใน
เข้าตาจนเมื่อใด หนทางสุดท้ายก็คือการปล้นหรือยึดทรัพยากรธรรมชาติอย่างที่ทำในอิรักหรือประเทศอื่น หรือไม่ก็ทำสงครามเพื่อกลบปัญหาภายใน
คนป่วยของยุโรปในอดีตเป็นคนป่วยจากโรคภายใน อ่อนแอและไร้อันตราย แต่คนป่วยของโลกรายล่าสุดเป็นคนป่วยที่อันตราย เพราะป่วยด้วยโรคจิตและมีอาวุธทำลายร้ายแรงสูง
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น