วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
เอาตัวตนให้รอดเป็นยอดดี
บรรจง บินกาซัน
ในคัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นวจนะที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่นบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว มีข้อความตอนหนึ่งซึ่งมีความหมายที่น่าคิดว่า :
“ขอสาบานด้วยตัวตนของมนุษย์และการสร้างสมดุลให้แก่มัน แล้วพระองค์ได้ทรงดลให้มันรู้ถึงความชั่วของมันและความดีของมัน แท้จริง ผู้ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ขัดเกลาตนเองให้บริสุทธิ์และผู้ทำลายมันย่อมเป็นผู้ล้มเหลว” (กุรอาน 91:7-9)
ข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับ”ตัวตน”ของมนุษย์ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากจนพระผู้เป็นเจ้าได้นำมาใช้เป็นคำสาบานเพื่อเรียกร้องให้มนุษย์หันมาสนใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์โดยตรง
ตัวตนของมนุษย์ในที่นี้มิได้หมายถึงสังขารเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงวิญญาณซึ่งทำให้มนุษย์มีชีวิตขึ้นมาหลังจากที่ตัวสเปิร์มปฏิสนธิกับไข่ในครรภ์ของผู้หญิงได้ 120 วันด้วย
เราได้รับความรู้ต่อไปอีกว่านอกจากพระเจ้าได้สร้างตัวตนของมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พระองค์ยังสร้างความสมดุลให้แก่ตัวตนของมนุษย์ด้วย ดังนั้น ความสมบูรณ์ของชีวิตมนุษย์จึงอยู่ที่การใช้ชีวิตโดยการตอบสนองของร่างกายและวิญญาณอย่างสมดุล
นอกจากนี้ เรายังได้รู้อีกว่าตัวตนในส่วนที่เป็นวิญญาณของมนุษย์นั้นได้รับการดลใจให้รู้ถึงเรื่องผิดชอบชั่วดีเป็นธรรมชาติติดตัวมาบ้างแล้ว เช่น เด็กที่ยังไม่บรรลุถึงวัยผู้ใหญ่ก็สามารถรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณว่าการถูกกลั่นแกล้งรังแกเป็นสิ่งไม่ดี
แต่ที่สำคัญก็คือ “ผู้ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ขัดเกลาตนเองให้บริสุทธิ์และผู้ทำลายมันย่อมเป็นผู้ล้มเหลว” ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จของมนุษย์ในโลกหน้านั้นอยู่ที่การขัดเกลาวิญญาณของตนเองให้บริสุทธิ์ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และใครที่ทำลายวิญญาณของตนเองด้วยการปล่อยให้มลทินแห่งบาปเปรอะเปื้อนวิญญาณของตัวเองก็จะประสบความล้มเหลวในชีวิตโลกหน้า ทั้งนี้เพราะวิญญาณที่สะอาดผ่องแผ้วไม่เคยบงการให้มนุษย์ทำความชั่ว และวิญญาณที่สกปรกก็ไม่เคยบงการให้มนุษย์ทำความดี
การขัดเกลาตนเองเพื่อความรอดพ้นจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์แต่ละคน จะให้คนอื่นทำแทนกันไม่ได้
จากข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องตัวตนของมนุษย์ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์กุรอาน นักวิชาการอิสลามแบ่งตัวตนของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับนับหลายร้อยปีก่อนที่ซิกมันด์ ฟรอยด์จะศึกษาเรื่องจิตวิทยาเสียอีก
ตัวตนระดับต่ำสุดก็คือตัวตนที่มีความต้องการเยี่ยงสัตว์ มีแนวโน้มไปในทางชั่ว หากไม่มีการควบคุมก็จะนำไปสู่ความหายนะ ตัวตนประเภทนี้แม้แต่นบียูซุฟ(โยเซฟ)ก็ยังยอมรับว่า “ฉันก็มิได้ถือว่าตัวฉันปลอดพ้นจากบาป เพราะตัวตนนั้นกระตุ้นไปสู่ความชั่ว” เมื่อท่านถูกภรรยาสาวของเจ้าเมืองอียิปต์เย้ายวนให้ตอบสนองความต้องการของนาง แต่ที่ท่านรอดพ้นความชั่วมาได้ก็เพราะ “พระผู้อภิบาลของฉันทรงเมตตา” (กุรอาน 12 : 53)
ตัวตนระดับที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็คือตัวตนที่ตำหนิตัวเองซึ่งเป็นตัวตนที่รู้จักความชั่วและพยายามต่อต้านความชั่วนั้น เป็นตัวตนที่วอนขอความกรุณาและการอภัยโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าและพยายามที่จะแก้ไขโดยหวังที่จะได้รับความรอดพ้นจากการถูกลงโทษในโลกหน้า
ตัวตนระดับนี้เป็นตัวตนที่มีสติสัมปชัญญะ เป็นตัวตนที่เกรงกลัวพระเจ้าและตระหนักถึงวัตถุประสงค์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ว่า “เราได้สร้างมนุษย์จากหยดอสุจิที่ถูกผสมเพื่อทดสอบเขา ดังนั้น เราจึงได้ทำให้เขาได้ยินและได้เห็น”
ตัวตนระดับสูงสุดก็คือตัวตนที่สงบแล้ว เป็นตัวตนที่ได้รับความสงบสุขและความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ ตัวตนประเภทนี้แม้จะต้องได้รับความทุกข์ทรมานหรือความตายจากการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงมีความสุข ตัวตนประเภทนี้เองที่คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า :
“โอ้ตัวตนที่สงบสุขเอ๋ย จงกลับไปยังพระผู้อภิบาลของเจ้าด้วยความยินดีและความปลื้มปีติ จงเข้ามาร่วมกับบ่าวผู้มีคุณธรรมของฉันและเข้าสวรรค์ของฉันเถิด” (กุรอาน 89 : 27-30)
ขณะที่มีชีวิตอยู่ในในโลกนี้ วิญญาณและร่างกายยังอยู่ร่วมกัน เมื่อวิญญาณทิ้งสังขารมนุษย์ไปเมื่อใดก็หมายถึงความตายเมื่อนั้น แต่ความตายยังมิใช่จุดสุดท้ายของชีวิต วิญญาณจะไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งเพื่อรอวันสิ้นโลก เมื่อวันอวสานมาถึง คัมภีร์กุรอาน(81:7)กล่าวว่าวิญญาณและสังขารจะถูกนำมารวมกันในรูปตัวตนมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สังขารได้รับความรู้สึกทรมานจากการถูกลงโทษเพราะความชั่วหรือได้รับความสุขจากการตอบแทนความดีที่ตัวเองได้ทำไว้
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัดพูดถึงเรื่องของการฟื้นคืนชีพในโลกหน้า ชาวอาหรับที่โง่เขลาในเวลานั้นต่างพากันปฏิเสธและหัวเราะเยาะท่านไม่ต่างอะไรไปจากพวกนักวัตถุนิยมในปัจจุบัน ดังนั้น ท่านจึงยกตัวอย่างให้เห็นว่าในเมื่อน้ำในทะเลถูกแสงแดดแผดเผาให้กลายเป็นไอลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ หลังจากที่ควบแน่นและลอยต่ำมากระทบกับความเย็นก็กลายสภาพเป็นน้ำฝนตกมายังพื้นโลกอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำไมมนุษย์จะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในสภาพเดิมไม่ได้ ?
ถ้าการเรียนวิทยาศาสตร์ทำให้รู้อะไรสารพัด แต่ไม่รู้จักตัวตนและไม่อาจช่วยให้ตัวเองรอดพ้นได้ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น