บรรจง บินกาซัน
ลัทธิโลกนิยม (Secularism) เป็นลัทธิที่เกิดขึ้นหลังจากนักวิทยาศาสตร์ในยุโรปมีความขัดแย้งกับคริสตจักรเนื่องจากการค้นพบความจริงของนักวิทยาศาสตร์ขัดแย้งกับความเชื่อของบาทหลวงที่สืบทอดกันมานาน ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้คริสตจักรที่เคยเป็นหนึ่งเดียวแตกออกเป็นคริสตจักรแคทอลิกและคริสตจักรโปรเตสแตนท์
ความแตกแยกนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในยุโปมองว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัย นักบวชในคริสตจักรไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับการค้นใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังหาทางกำจัดนักวิทยาศาสตร์ที่มีความขัดแย้งกับตนด้วย ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงเห็นว่าถ้าเป็นเช่นนี้ นักบวชก็ควรทำหน้าที่ทางศาสนาของตัวเองในโบสถ์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆในชีวิต เช่นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม เรื่องวิทยาศาสตร์ คริสตจักรซึ่งหมายถึงบาทหลวงและคำสอนทางศาสนาไม่ต้องเข้ามามีบทบาท
หลังจากนั้น ประเทศยุโรปในซีกของโปรเตสแตนท์ได้เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าจากการค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ ความสำเร็จเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนเริ่มชื่นชมและสนใจในความสำเร็จของมนุษย์ด้วยกันจนเกิดลัทธิมนุษย์นิยม(humanism)ขึ้นมา ลัทธินี้มีความเชื่อว่าสมองของมนุษย์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สังคมมนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ดีโดยไม่ต้องมีศาสนา
ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เกิดความขัดแย้งกับบาทหลวงเพราะบาทหลวงเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะและสอนผู้คนมาตลอด แต่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื่องจากบาทหลวงเป็นตัวแทนของศาสนา ผู้คนจึงคิดว่าคำสอนของบาทหลวงเป็นความจริงทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ก็มีความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองค้นพบเหมือนกับเป็นความเชื่อทางศาสนา
แต่เนื่องจากศาสนาเป็นคำสอนที่มีอยู่ก่อนและคำสอนทางศาสนาสอนว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาล สร้างโลกและสร้างมนุษย์ ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อชาร์ลส ดาร์วินสนใจที่จะค้นหาที่มาของมนุษย์ หลังจากออกเดินทางไกลและใช้เวลายาวนานเพื่อค้นหาต้นตอที่มาของมนุษย์ เขาได้กลับมาเขียนหนังสือเรื่อง Origin of Species (ที่มาของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิต) อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์เกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ค่อยๆวิวัฒนาการและปรับสภาพรูปร่างไปตามสภาพแวดล้อม
หลังจากนั้นก็มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายว่าต้นกำเนิดที่มาของสิ่งมีชีวิตคือโปรโตพลาสซั่มที่เมื่อได้รับสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมจึงขยายตัวเป็นอวัยวะส่วนต่างๆของรูปร่าง ความคิดของเขาได้ถูกนำมาสอดใส่ในตำราเรียนในสถาบันการศึกษาทั่วโลกทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ในขณะที่วิชาศีลธรรมถูกถอนออกไปจากโรงเรียน
ก่อนหน้านี้ คำสอนของบาทหลวงในคริสตจักรเคยถูกนักวิทยาศาสตร์ท้าทาย แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำเสนอทฤษฎีต้นกำเนิดของมนุษย์ นักการศาสนาทั่วโลกทั้งในคริสตจักรและโลกอิสลามได้ออกมาคัดค้านและท้าให้นักวิทยาศาสตร์นำหลักฐานมาพิสูจน์ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้จนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ ความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์ แต่ความเชื่อว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากโปรโตพลาสซั่มยังเป็นสิ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ในมุมมองของศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ของชาร์ลส ดาร์วินถือเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และถ้ามนุษย์เชื่อว่าตัวเองเกิดมาเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์และตายเหมือนสัตว์โดยไม่ต้องไปยืนต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรอรับการตัดสินสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ กฎหมายที่มนุษย์ร่างขึ้นมาเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึ่งถึงคำสอนของศาสนาไม่อาจควบคุมมนุษย์ได้ และเมื่อนั้น สังคมมนุษย์จะเกิดความหายนะติดตามมา
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
The confrontation between science and religion
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น