บรรจง บินกาซัน
คัมภีร์กุรอานเป็นบันทึกวจนะครั้งสุดท้ายของพระเจ้าที่ประทานแก่มนุษยชาติผ่านทางนบีมุฮัมมัดเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของมนุษย์จนถึงวันสิ้นโลก เป็นคัมภีร์ที่ยังคงภาษาอาหรับต้นฉบับไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่ตัวอักษรเดียวตั้งแต่สมัยนบีมุฮัมมัดจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น มุสลิมในปัจจุบันจึงอ่านคัมภีร์กุรอานเหมือนกับนบีมุฮัมมัดและสาวกในสมัยของท่านอ่าน
คัมภีร์กุรอานประกอบด้วย 6,236 วรรคตอน สั้นบ้างยาวบ้าง แต่ละวรรคตอนถูกเรียกว่า “อายะฮฺ” ที่หมายถึง “สัญญาณ” พหูพจน์ของคำนี้คือ “อายาต” สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของคัมภีร์กุรอานก็คือมีมุสลิมนับแสนคนสามารถท่องจำคัมภีร์กุรอานได้ทั้งหมด ผู้ท่องจำที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบันเป็นเด็กอายุ 11 ขวบ
ในคัมภีร์กุรอานมีอายะฮฺหนึ่งกล่าวว่า “เราจะให้พวกเขาได้เห็นอายาต(สัญญาณ)ต่างๆของเราในท้องฟ้าและในตัวของพวกเขา จนกระทั่งมันทำให้พวกเขาประจักษ์ชัดว่ากุรอานเป็นความจริง” (กุรอาน 41:53)
หลังสมัยนบีมุฮัมมัดจากโลกนี้ไป มุสลิมหลากหลายเชื้อชาติอ่านข้อความดังกล่าวและเกิดความสงสัยว่านอกจากอายาตในกุรอานแล้ว ยังมีอายาตของพระเจ้าในท้องฟ้าและในตัวมนุษย์อีกหรือ ความสงสัยนี้บันดาลใจให้บางคนศึกษาอายาตของพระเจ้าในท้องฟ้าจนกระทั่งพวกเขาพบกฎดาราศาสตร์ที่ควบคุมดวงดาวจนสามารถเขียนแผนที่การโคจรของดวงดาวได้และสรุปว่านี่คือสัญญาณยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงจัดระเบียบทุกสิ่ง
อิบนุสินา ชาวเปอร์เซียคนหนึ่งศึกษาอายาตของพระเจ้าในร่างกายของมนุษย์จนเขาเขียนตำราการแพทย์ที่ชื่อว่า “กอนูน ฟิฏฏิบ” (หลักการแพทย์)ขึ้นมาให้ชาวยุโรปนำไปศึกษาอ้างอิงเป็นเวลานานถึง 500 ปี แต่ชาวยุโรปได้เปลี่ยนชื่ออิบนุสินาในภาษาอาหรับให้เป็นภาษาลาตินว่า “อะวิเซนนา” (Avicenna)
วิชาดาราศาสตร์และแพทย์ศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาคัมภีร์กุรอานนี้เองที่ทำให้มุสลิมยิ่งมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้นพร้อมไปกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ปฏิเสธศาสนา ความรู้อื่นๆที่ตามมานอกเหนือจากความรู้ดังกล่าว ทำให้เมืองคอร์โดบา เมืองหลวงของอาณาจักรอันดะลุสของมุสลิมในสเปนและเมืองแบกแดดในอิรักเมื่อพันกว่าปีที่แล้วกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านวิชาการ การค้าและความเจริญของโลกที่ชาวยุโรปใฝ่ฝันมาเยือน
ในช่วงที่อาณาจักรอันดะลุสในสเปนรุ่งเรือง มีชาวยุโรปเข้ามาศึกษาหาความรู้ที่เมืองคอร์โดบา ในเวลานั้น ตำราทางวิชาการส่วนใหญ่ถูกเขียนเป็นภาษาอาหรับ หลังจากนั้น นักวิชาการชาวยุโรปได้นำตำราเหล่านี้ไปแปลเป็นภาษาละตินและนำไปต่อยอดจนกระทั่งเกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขึ้นมาในยุโรป
หลังเกิดความขัดแย้งในยุโรประหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักบวชแห่งคริสตจักร ยุโรปได้เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ความเจริญก้าวหน้าและการค้นพบใหม่ๆทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มมองศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัยและผู้คนหันมาเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มากจนนับถือวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เป็นศาสดา ถ้านักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากจากลิง หรือถ้าปล่อยให้ประชากรเพิ่มขึ้น ผลผลิตจะไม่เพียงพอเลี้ยงประชากรมนุษย์ ผู้คนก็เชื่อตาม ไม่นาน ชาวยุโรปก็เริ่มปล่อยให้โบสถ์ว่างเปล่า ในขณะที่มัสญิดในยุโรปมีไม่พอรองรับมุสลิมที่มาละหมาดมากขึ้นเรื่อยๆจนโบสถ์หลายแห่งได้ถูกซื้อไปบูรณะเป็นมัสญิด
อิสลามไม่เคยปฏิเสธวิทยาศาสตร์เพราะอิสลามถือว่าวิทยาศาสตร์คือความรู้ทางกายภาพที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อเป็นเครื่องมือในการรู้จักพระเจ้าและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์อารยธรรม นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า มุสลิมยิ่งมีความศรัทธาในศาสนาและเดินเข้าหาศาสนาในขณะที่ชาวตะวันตกหันหลังให้ศาสนาเมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
Science brings Muslims closer to religion.
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkasonc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น