สายกลางคือทางรอด

บรรจง บินกาซัน

ในอดีต คำสอนของศาสนาเคยทำหน้าที่เป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคมก่อนที่โลกของเราจะมีรัฐบาลหรือรัฐสภามาร่างรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายจัดระเบียบสังคม เนื่องจากคำสอนของศาสนามาจากพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย ดังนั้น คำสอนของศาสนาจึงไม่ขัดกับธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมา 

ความจริงแล้ว  ศาสนาก็คือกฎหมายนั่นเอง  แต่กฎหมายที่อยู่ในศาสนาแตกต่างไปจากกฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น  กฎหมายศาสนาที่มาจากพระเจ้าจะควบมนุษย์ทั้งสองด้าน คือด้านจิตวิญญาณและด้านพฤติกรรมภายนอก  แต่กฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่คำนึงถึงด้านจิตวิญญาณที่มีความเชื่อในพระเจ้า การลงโทษหลังความตายและการปฏิบัติพิธีกรรมรวมอยู่ด้วยเพื่อรักษาความเชื่อไว้คอยเตือนมนุษย์มิให้ทำผิด

การปฏิบัติตามกฎหมายสองประเภทจึงมีผลแตกต่างกัน  ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายศาสนาจะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมเพราะความเกรงกลัวการถูกลงโทษในโลกหน้าโดยไม่ต้องมีอำนาจรัฐคอยควบคุม แต่กฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้นกลับส่งเสริมให้มีอบายมุขเพียงเพื่อได้เงินเข้ารัฐและเข้ากระเป๋านักธุรกิจอบายมุขโดยไม่คำนึงถึงความเสื่อมทรามของศีลธรรมและสังคม

ในสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายสมัยใหม่  ศาสนากลายเป็นแค่ความเชื่อและพิธีกรรมส่วนบุคคลที่ใครจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้  แต่ในบางสังคม เช่น สังคมคอมมิวนิส์ การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเป็นที่ต้องห้าม อย่างไรก็ตาม จนทุกวันนี้ยังมีผู้คนที่มีความเชื่อและปฏิบัติตามกฎหมายทางศาสนาอยู่

กฎหมายศาสนาเริ่มสูญเสียบทบาทในการจัดระเบียบสังคมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในคริสตจักรระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักบวชที่ทำหน้าที่เหมือนผู้รักษากฎหมาย  เมื่อฝ่ายโปรเตสแตนต์ที่แยกตัวออกจากอำนาจการปกครองของพระสันตะปาปาและเจริญก้าวหน้าหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ คนรุ่นใหม่จึงเริ่มคิดว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ความคิดเช่นนี้เองที่ก่อให้เกิดลัทธิเซคิวลาร์(Secularism)ขึ้นมา  ลัทธินี้ถือว่ามนุษย์จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องอยู่ในกรอบคำสอนของศาสนา

ดังนั้น เมื่อมนุษย์คิดจะทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ลัทธิเซคิวลาร์จึงก่อให้เกิดความสุดโต่งทางความคิดและการปฏิบัติที่ต่างกัน เช่น มนุษย์กลุ่มหนึ่งคิดว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ มือใครยาวสาวได้สาวเอา นี่คือต้นกำเนิดความคิดของลัทธิทุนนิยมที่เปิดโอกาสให้คนรวยเอาเปรียบคนจน

เมื่อคนยากจนที่มีจำนวนมากขึ้นเกิดความไม่พอใจ จึงมีคนนำเสนอความคิดว่าทรัพยากรบนโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ทุกคน  ดังนั้น ทรัพยากรจะต้องถูกนำมาจัดแบ่งให้คนในสังคมอย่างเท่าเทียมกันและไม่อนุญาตให้ใครมีกรรมสิทธิ์ นี่คือที่มาของลัทธิคอมมิวนิสต์

ลัทธิทุนนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเปรียบเสมือนกับสองด้านที่ตรงข้ามกันของเหรียญเซคิวลาร์ เมื่อคิดต่างกัน การปฏิบัติก็ต่างกัน  ผลที่ตามมาก็คือโลกได้เห็นการทำสงครามของสองลัทธินี้นานนับหลายสิบปีโดยที่ผู้คนในสังคมทั้งสองฝ่ายต้องล้มตายนับสิบล้านคนจากทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกขุดคุ้ยไปผลิตเป็นอาวุธสงครามแทนที่จะนำไปใช้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์

แต่ความคิดทางเศรษฐกิจของอิสลามถือว่าทรัพยากรไม่ได้เป็นของมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างทรัพยากร  แต่ทรัพยากรเป็นของพระเจ้าที่พระองค์มอบให้มนุษย์นำมาใช้เพื่อสร้างความเจริญและนำไปแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันระหว่างมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างมาให้มีฐานะและความสามารถที่แตกต่างกัน

 แนวความคิดทางเศรษฐกิจของอิสลามอนุญาตให้มนุษย์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน  แต่เมื่อมนุษย์มีทรัพย์สินถึงขีดที่อิสลามถือว่ามีความมั่งคั่ง อิสลามจะกำหนดให้ผู้มีความมั่งคั่งต้องจ่ายทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเป็นซะกาต(หรือภาษีทางศาสนา)ถวายพระเจ้าโดยนำซะกาตนั้นไปให้คนยากจนเพื่อยึดโยงคนรวยกับคนจนไว้มิให้ห่างกัน

ปัจจุบัน  การต่อสู้ของสองลัทธิสุดโต่งทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว คงเหลือแต่ลัทธิทุนนิยมที่ครองโลกอยู่และมนุษย์คิดว่าลัทธิทุนนิยมคือทางรอด  แต่ในตอนนี้ โลกเริ่มเห็นพิษภัยของลัทธิทุนนิยมแล้วจากการที่สาวกของลัทธินี้ทำกิจกรรมที่ละเมิดขอบเขตกฎหมายทางศาสนาได้อย่างเสรี 

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ามนุษย์ในลัทธิทุนนิยมมองเห็นพิษภัยของการละเมิดขอบเขตกฎศาสนาหรือไม่และจะหันกลับมาสู่ขอบเขตทางศีลธรรมบนทางสายกลางอย่างไร

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

The middle way is the way to survive.

Banjong Binkasan

In the past, religious teachings served as the law to organize society before our world had governments or parliaments to draw up constitutions and laws to organize society. Since the teachings of religion come from God who created the universe and everything, including man, the teachings of religion do not conflict with the created nature of God.

In fact, religion is the law. But the laws in religion are different from those created by man. Religious laws that come from God govern both sides of mankind. is the spiritual aspect and the external behavioral aspect. But man-made laws do not take into account the spiritual aspect of belief in God. Punishment after death and ceremonial practices are included to preserve the faith and to warn men against wrongdoing.

So the two types of law practice have different effects. Religious law-abiding practitioners are not involved in the vices that cause decay for fear of punishment in the next world without the control of the state. But man-made laws encourage wickedness only to get money into the state and into the pockets of wicked businessmen, regardless of moral and social degradation.

in a society governed by modern laws Religion has become just a personal belief and ritual that no one can do. But in some societies, such as the communist society The practice of religious ceremonies is forbidden, however, and to this day there are still people who believe and obey religious laws.

Religious law begins to lose its role in organizing society when conflicts arise in the church between scientists and clergy who act as law enforcement. When the Protestants separated from the pope's authority and progressed after the Renaissance The new generation began to think that religion was no longer necessary. It was this idea that gave rise to Secularism. This doctrine assumes that human beings can do anything without being in the teachings of religion.

Therefore, when people think of doing whatever they want. Thus, secularism creates extremes in different ideas and practices. For example, a group of humans thinks that the resources on this planet are human. Whoever's hand is long, the girl gets the girl. This is the origin of the idea of ​​capitalism that allows the rich to take advantage of the poor.

When the number of poor people grows dissatisfied Therefore, it has been suggested that the resources on this planet belong to all human beings. Therefore, resources must be allocated equally among the people in the society and no one is allowed to own them. This is the origin of communism.

Capitalism and communism are thus like two opposite sides of a secular coin. when thinking differently practice is different As a result, the world has witnessed decades of warfare between the two religions, where tens of millions of people on both sides of the society have been killed by digging up natural resources to produce weapons of war instead. will be used for the well-being of human beings

But Islamic economic thought assumes that resources are not human. Because humans are not the creators of resources. But the resources belong to God that He has given to humans to use to create prosperity and to exchange or share between human beings created by God to have different positions and abilities.

 Islamic economic concepts allow humans to own property. But when human beings have the property to the extent that Islam considers wealth. Islam will require the wealthy to pay a certain amount of their wealth in zakat (or religious taxes) to God by bringing that zakat to the poor in order to keep the rich and poor separate.

Today, the battle of the two extremists has led to the collapse of communism. It remains only capitalism that dominates the world and human beings think capitalism is the means of salvation. But now the world has begun to see the danger of capitalism as its followers freely engage in activities that violate religious law.

The question, therefore, lies in whether human beings in capitalism see the dangers of violating religious rules and how to return to the moral realm on the middle path.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkasonc