โลกาภิวัตน์โลกานิยม

บรรจง บินกาซัน

ลัทธิโลกานิยม (Secularism) เป็นแนวความคิดที่แยกตัวออกจากคำสอนของศาสนาและไม่ต้องการให้คำสอนของศาสนาเข้ามามีส่วนในกิจการทางสังคมทุกมิติ  ลัทธินี้เกิดขึ้นหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ  จากลัทธินี้เองที่ก่อให้เกิดลัทธิทางเศรษฐกิจและการเมืองหลากหลายติดตามมา

เนื่องจากคำสอนของศาสนามาจากพระเจ้า  จึงมีผู้สนับสนุนลัทธิโลกานิยมพยายามจะทำให้มนุษย์ที่เคยนับถือศาสนาเริ่มสงสัยในคำสอนของศาสนาและหันห่างออกจากศาสนาที่เคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นวิถีการดำเนินชีวิต

หนทางหนึ่งก็คือการนำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วินที่ว่าชีวิตบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุบางชนิดในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและค่อยๆพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ  ชาร์ลส์  ดาร์วินยังเขียนหนังสือที่อธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงซึ่งขัดกับความเชื่อในคัมภีร์ทางศาสนาที่ยืนยันมาตั้งแต่เดิมและไม่เปลี่ยนแปลงว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์

จากมุมมองทางศาสนา  ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  แม้ทฤษฎีของดาร์วินจะได้รับการสนับสนุนจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหลายร้อยฉบับให้ดูดีเป็นที่น่าเชื่อถือและถูกนำไปสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย     แต่ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินก็ต้องเกิดอาการสะดุดทางความคิดจนแทบหัวคว่ำเมื่อถูกฝ่ายที่เชื่อในพระเจ้าแย้งว่าหากมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงจริงๆ  มันต้องมีซาก “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” เป็นหลักฐาน

ข้อโต้แย้งนี้เองที่ทำให้ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้  แต่ไม่นานนัก โลกก็ได้ยินข่าวว่ามีการพบหลักฐานช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์แล้วที่เมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษและโครงกระดูกนี้ได้ถูกนำมาวางในพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษเป็นเวลานานหลายสิบปี

ซากชิ้นส่วน “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” ซึ่งถูกเรียกว่า “มนุษย์พิลท์ดาวน์” นี้เป็นหัวกระโหลกที่มีลักษณะส่วนบนเหมือนกระโหลกของมนุษย์และกระดูกกรามมีลักษณะเหมือนกรามของลิงใหญ่

ทฤษฎีของดาร์วินดูเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์  แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า  มีการคิดค้นน้ำยาเคมีที่ใช้วัดการดูดซับของกระดูก  จึงได้มีการนำน้ำยานี้ไปใช้พิสูจน์ซากกะโหลกของมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลปรากฏว่าการดูดซับของกระดูกส่วนบนกับส่วนล่างไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสดงว่ากระดูกสองชิ้นไม่ใช่กระดูกจากร่างของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน  เมื่อมีการสืบสวนลึกลงไป  จึงได้รู้ความจริงว่าซากกระโหลกดังกล่าวเป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้น  หลังจากนั้น  ซากโครงกระดูกและหัวกระโหลกที่ถูกตั้งไว้หลอกคนมานานนับสิบปีได้ถูกนำออกจากพิพิธภันฑ์ไป

ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น  ทฤษฎีของดาร์วินก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือลง  เมื่อมีการค้นพบดีเอ็นเอ (DNA) หรือสารพันธุกรรมทำให้มนุษย์รู้ว่าดีเอ็นเอของมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นเดียวกับลายนิ้วมือของมนุษย์  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการมาจากลิง

นอกจากการค้นพบดีเอ็นเอแล้ว  การศึกษาทางธรณีวิทยายังทำให้เรารู้ว่าโลกเคยเป็นกลุ่มก๊าซมาก่อน  หลังจากนั้น กลุ่มก๊าซนี้ได้ควบแน่นเป็นของเหลวร้อนและค่อยๆเย็นลงจนส่วนนอกกลายเป็นเปลือกโลก  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตใดๆเกิดขึ้นและก่อตัวเป็นชีวิตที่ค่อยๆวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ขึ้นมา

ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  มันทำให้มนุษย์ไม่รู้จักสถานะของตัวเองว่าเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระเจ้าผู้ทรงสร้างและเป็นนาย มนุษย์จึงขาดสิ่งยึดเหนี่ยวและทางนำในการดำเนินชีวิต  คิดว่าตัวเองเกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์และตายไปเยี่ยงสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ต้องไปถูกพระเจ้าสอบสวนในโลกหน้า

ไม่เพียงเท่านั้น  ทฤษฎีของดาร์วินยังเสนอความคิดอีกว่าผู้ที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอด ใครอ่อนแอก็ต้องสูญพันธุ์ไป ด้วยความคิดเช่นนี้เองที่ทำให้มนุษย์ที่แข็งแรงกว่านำไปอ้างในการทำลายธุรกิจและชาติอื่นๆที่อ่อนแอกว่า

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

Globalization

Banjong Bingasan

Secularism is a concept that separates itself from religious teachings and does not want religious teachings to be involved in any aspect of social affairs. This ideology arose after the Renaissance. From this ideology, various economic and political ideologies followed.

Since religious teachings come from God, supporters of globalism try to make people who used to believe in religion begin to doubt religious teachings and turn away from religions that used to be their beliefs and ways of life.

One way is to present Charles Darwin's theory of evolution that life on this planet arose from the combination of certain elements in a suitable environment and gradually developed into various types of living things. Charles Darwin also wrote a book explaining that humans evolved from apes, which contradicts the belief in religious scriptures that have been confirmed since the beginning and have not changed that God created humans.

From a religious perspective, Charles Darwin's theory is a severing of the relationship between humans and God. Even though Darwin's theory has been supported by hundreds of doctoral theses to look good and credible and has been taught in schools and universities all over the world, including Thailand. But supporters of Darwin's theory were almost shocked when the atheist argued that if humans really evolved from apes, there must be remains of "the transition between apes and humans" as evidence. This argument prevented supporters of Darwin's theory from finding evidence to confirm it. But not long after, the world heard the news that evidence of the transition between apes and humans had been found in Piltdown, England, and this skeleton had been placed in a museum in England for decades. The remains of the "transition between apes and humans", which were called "Piltdown Man", were skulls that had the upper part like a human skull and the jawbone like the jaw of a great ape. Darwin's theory seemed scientific, but as science advanced, a chemical solution was invented to measure bone absorption, so this solution was used to examine the remains of the Piltdown Man skull. The results showed that the absorption of the upper and lower bones were not the same, which showed that the two bones were not from the body of the same type of creature. When investigated more deeply, It was discovered that the skull was a fabricated piece of evidence. After that, the skeleton and skull that had been used to deceive people for decades were removed from the museum.

The more science advances, the more Darwin's theory loses credibility. When DNA (DNA) or genetic material was discovered, it made humans realize that each person's DNA is different, just like human fingerprints. Therefore, it is impossible for humans to have evolved from monkeys.

In addition to the discovery of DNA, geological studies also show us that the Earth used to be a gas. After that, this gas condensed into a hot liquid and gradually cooled until the outer part became the earth's crust. Therefore, it is impossible for any life to arise and form a life that gradually evolved into humans.

Darwin's theory of evolution severs the relationship between humans and God. It makes humans not know their own status as created beings and servants of God, the creator and master. Therefore, humans lack something to hold on to and a guideline in life. They think that they were born only to eat, sleep, excrete, reproduce and die like animals without having to be investigated by God in the next world.

Not only that, Darwin's theory also suggests that only the strong survive, and the weak will become extinct. It is this mindset that allows stronger humans to claim to destroy weaker businesses and nations.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason