โลกในหลุมฝังศพ

บรรจง บินกาซัน 

สองร้อยปีก่อนหน้านี้  ไม่มีมนุษย์คนใดเคยรู้หรือเห็นวิวัฒนาการของทารกมนุษย์ในครรภ์แม้วิทยาศาสตร์เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าแล้ว  แต่ประมาณ 1,400 ปีก่อนหน้านี้  นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในทะเลทรายและไม่รู้หนังสือได้นำวจนะตอนหนึ่งซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์กุรอานมาบอกชาวอาหรับในยุคอวิชชาดังนี้

“แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก  แล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14) 

เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าจนสร้างเครื่องเอ๊กซ์เรย์ขึ้นมาใน ค.ศ.1895 และตามมาด้วยการสร้างเครื่องอุลตราซาวด์ใน ค.ศ.1956  มนุษย์จึงได้รู้ว่าข้อความในคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้

อย่างไรก็ตาม  ข้อความที่พูดถึงเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ในครรภ์นั้น   คัมภีร์กุรอานมิได้ประสงค์ที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นตำราทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใด  แต่ข้อความดังกล่าวต้องการจะบอกว่า ประการแรก คัมภีร์กุรอานแต่ละวรรคตอนเป็น “อายะฮฺ” (สัญญาณ, หลักฐาน, สิ่งมหัศจรรย์)ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง  ผู้ให้ชีวิตและผู้เอาชีวิตของมนุษย์แต่เพียงพระองค์เดียว

ประการที่สอง  พระเจ้าต้องการบอกว่าครรภ์มารดาเป็นโลกที่มนุษย์เคยอยู่และต้องอยู่มาก่อนที่มนุษย์จะมายังโลกนี้  เป็นโลกที่มนุษย์ทุกคนมีเวลาจำกัดอยู่ประมาณเก้าเดือนและต้องออกมาสู่โลกใบนี้ซึ่งเป็นโลกชั่วคราวที่มนุษย์แต่ละคนมีระยะเวลาไม่เท่ากัน  แต่โลกชั่วคราวใบนี้มีอะไรที่มากมายกว่าโลกในครรภ์มารดา

อย่างไรก็ตาม  เมื่อมนุษย์คลอดจากโลกแห่งครรภ์มารดามาอยู่ในโลกชั่วคราวใบนี้แล้ว  ทุกชีวิตก็ต้องเป็นไปตามกฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่ความตายยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต  ความตายไม่ต่างอะไรจากการคลอดออกจากครรภ์มารดา  แต่เป็นการคลอดจากโลกนี้ไปสู่โลกแห่งสุสานหรือหลุมฝังศพซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์จะไปรอเพื่อถูกเรียกไปสู่โลกนิรันดรหลังวันสิ้นโลกพร้อมๆกัน

มนุษย์ในครรภ์มารดาไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเพราะสมองยังไม่มีปัญญาที่สามารถคิดได้  แต่เมื่อคลอดมายังโลกนี้แล้ว  มนุษย์มีสติปัญญาและความรู้มากพอ  ดังนั้น  มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไปจากความคิดและความเชื่อของตัวเอง

โลกในหลุมฝังศพเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้และโลกหน้า หมายความว่าโลกแห่งหลุมฝังศพมิใช่โลกสุดท้าย  แต่เป็นโลกชั่วคราวที่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์จะไปรอคอยวันสิ้นโลก  วันนั้น  มนุษย์จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเพื่อไปสู่โลกที่แท้จริง  ดังนั้น วิญญาณของมนุษย์จะไม่กลับมายังโลกนี้อีก

คำสอนของอิสลามได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อการฝังศพเสร็จสิ้นลงและทุกคนที่มาร่วมงานฝังศพกลับบ้านกันหมดแล้ว  ทูตสวรรค์สององค์จะมาสอบสวนวิญญาณผู้ตายในเรื่องความศรัทธาและการลงโทษในหลุมฝังศพมีจริง  นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะไม่มาฝังศพคนตาย  ฉันจะวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้พวกท่านได้ยินการลงโทษในสุสานเหมือนที่ฉันได้ยิน” 

ปัจจุบัน  ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์  มนุษย์มีเรดาร์ที่สามารถระบุแหล่งฝูงปลาในท้องทะเล  มีดาวเทียมติดกล้องโทรทัศน์ที่สามารถระบุแหล่งทรัพยากรหรืออารยธรรมที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนดินได้  แต่มนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถถ่ายภาพความเป็นไปของโลกในหลุมฝังศพให้เห็นได้เหมือนเครื่องอุลตราซาวด์ที่ถ่ายให้เราเห็นความเป็นไปของชีวิตทารกในโลกแห่งครรภ์มารดา

ประการที่สาม  ข้อความจากคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาต้องการจะบอกมนุษย์ยุคใกล้วันโลกาอวสานว่าถ้ามนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่เชื่อในเรื่องชีวิตในโลกหลังความตาย  มนุษย์คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากทารกในครรภ์ที่ตาเนื้อยังมองไม่เห็นและสมองยังไม่มีวิวัฒนากรพอที่จะรับรู้เรื่องโลกนอกครรภ์มารดา

ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason



| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |


[ Translate by Google Translate ]

The world in the grave

Banjong Bin Ghazal

Two hundred years ago, no human being had ever known or seen the evolution of a human fetus in the womb. Although science had already advanced, about 1,400 years ago, the Prophet Muhammad, who was born in the desert and was illiterate, told the Arabs of the ignorant age a verse from the Qur'an:

“Then We made him a sperm in a firm resting place (the womb). Then We made the sperm into a clot of blood and flesh, and made the clot of flesh into bone, and covered the bone with flesh. Then We breathed into him a soul, giving him another form.” (Quran 23:14)

When science and technology advanced enough to create an X-ray machine in 1895 and followed by an ultrasound machine in 1956, people came to know that the above-mentioned Qur'anic texts were truths that scientists could not deny.

However, the Qur'an does not intend to present itself as a scientific textbook in any way regarding the evolution of human beings in the womb. But the message is trying to say that firstly, each verse of the Quran is an “Ayah” (sign, evidence, wonder) that confirms the existence of God, the creator, the giver of life, and the savior of life alone.

Secondly, God wants to say that the womb of a mother is a world where humans have lived and must have lived before humans come to this world. It is a world where all humans have a limited time of about nine months and must come out to this world, which is a temporary world where each human has a different amount of time. But this temporary world has more than the world in the womb of a mother.

However, when a human being is born from the world of the womb of a mother to live in this temporary world, all life must inevitably follow the laws of birth, aging, illness, and death. But death is not the end of life. Death is no different from birth from the womb of a mother. It is birth from this world to the world of the grave or tomb, which is a world where humans will go to wait to be called to the eternal world after the end of the world together.

A human being in the womb of a mother is not responsible for their own actions because their brain does not yet have the intelligence to think. But when they are born into this world, humans have enough intelligence and knowledge. Therefore, humans must be responsible for what they do from their own thoughts and beliefs.

The world in the grave is a world between this world and the next world. This means that the world in the grave is not the final world, but a temporary world where the soul, the true life of man, will go to wait for the end of the world. On that day, man will be resurrected to go to the true world. Therefore, the soul of man will not return to this world again.

Islamic teachings provide information that when the burial is complete and everyone who attended the burial has gone home, two angels will come to question the soul of the deceased about their faith and the existence of the punishment in the grave. The Prophet Muhammad said, “If I were not afraid that you would not bury the dead, I would have asked God that you would hear the punishment in the grave as I heard it.”

Today, with the advancement of science, man has radar that can identify the source of fish in the sea. Satellites with television cameras can identify the sources of resources or civilizations buried underground. But man does not have the technology that can take pictures of the world in the grave like an ultrasound machine that can show us the life of a baby in the mother’s womb.

Thirdly, the Qur’anic message about the evolution of the fetus in the mother’s womb wants to tell man near the end of the world that if man has advanced in science but does not believe in life in the afterlife, A human being is no different from a fetus whose physical eyes have not yet developed enough to perceive the world outside the mother's womb.

Source: facebook of Mr.Banjong Binkason  Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason