บรรจง บินกาซัน
โลกใช้เหรียญกษาปณ์ทองคำและเงินเป็นสิ่งแทนค่าและสื่อกลางในการซื้อขายมานานนับพันปีและไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ถ้าใครไม่มีเหรียญกษาปณ์ก็สามารถเอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน
แม้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อไม่มี แต่ก็มีปัญหาเรื่องการสะสมทองคำในมือของคนกลุ่มน้อยซึ่งทำให้เศรษฐกิจไม่หมุนเวียนและการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบจากการให้กู้ยืมทองคำและคิดดอกเบี้ย ศาสนาจึงแนะนำให้มีการจ่ายทานและสั่งห้ามเรื่องดอกเบี้ยในคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่สมัยโมเสสและพระเยซูมายืนยัน หลังจากนั้น คัมภีร์กุรอานได้ถูกส่งมายืนยันการสั่งห้ามดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง
ในความเข้าใจของคนทั่วไป ดอกเบี้ยคือส่วนที่เกินจากเงินต้นในสัญญากู้ยืมที่ลูกหนี้ต้องจ่ายให้เจ้าของเงิน แต่นบีมุฮัมมัด ในฐานะเป็นพ่อค้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆและมองเห็นการณ์ไกล ท่านได้วางหลักเรื่องการเงินไว้ว่า “อย่าขายทองเพื่อทองเว้นเสียแต่ว่ามันจะหนักเท่ากัน และอย่าขายเงินเพื่อเงินเว้นเสียว่ามันจะหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน หรือขายเงินเปลี่ยนเป็นทองได้ถ้าต้องการ”
พูดง่ายๆก็คือ ทองกับทองแลกกันต้องน้ำหนักเท่ากันและส่งมอบกันทันที แต่ทองกับเงินเป็นโลหะคนละสกุล สามารถแลกเปลี่ยนกันโดยมีน้ำหนักต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้แลกเปลี่ยน
หลังโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์เริ่มผลิตสินค้าได้จำนวนมากและต้องระบายสินค้าออกไปขายทั่วโลก พ่อค้าในยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษ ต้องการเงินทุน จึงจำเป็นต้องกู้เงิน แต่คัมภีร์ไบเบิลห้ามดอกเบี้ยซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า usury คำนี้หมายถึงดอกเบี้ยที่นายทุนเรียกเก็บจากคนจนในอัตราสูงเพราะความเสี่ยงสูงในการได้เงินคืน
ผิดกับพวกพ่อค้าที่มีความสามารถในการจ่ายเงินคืน นายทุนจึงคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ พวกพ่อค้าและนายทุนจึงขอให้โป๊ปอนุมัตการกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยต่ำแก่พ่อค้า แต่โป๊ปเห็นว่าดอกเบี้ยจะสูงหรือจะต่ำก็คือดอกเบี้ย จึงไม่อนุมัติ แต่การค้าต้องดำเนินต่อไป พวกนายทุนและนักธุรกิจจึงไม่ฟังโป๊ปและทำธุรกิจกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยในคำสมัยใหม่ว่า interest นับแต่นั้นมา พวกนักธุรกิจตะวันตกก็ไม่เชื่อฟังโป๊ปอีกเลยและดอกเบี้ยได้กลายเป็นหัวใจของระบบการเงินสมัยใหม่
การค้าระหว่างประเทศในยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยน แต่เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจและมั่งคั่งขึ้นมาจากการขายอาวุธให้ประเทศยุโรปรบกันในสงครามโลกทั้งสองครั้ง สหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ผู้คนอยากคบค้าด้วย ดอลลาร์สหรัฐจึงเข้ามาเป็นสกุลเงินสากลของโลกแทนเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
เมื่อการค้าต้องใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน การจ่ายค่าสินค้าเป็นทองคำจึงเป็นเรื่องลำบาก เวลานั้น อเมริกามีทองคำสำรองสองในสามของโลก ตัวแทนจาก 44 ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจึงมาประชุมกันที่เมืองเบรตตัน วูด รัฐนิวแฮมพ์ไชร์ สหรัฐอเมริกาเพื่อทำความตกลงเรื่องจะใช้เงินสกุลอะไรในการทำการค้าระหว่างประเทศ
หลังจากประชุมกันอยู่หลายวัน ที่ประชุมได้ตกลงใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและได้มีการกำหนดมาตรฐานอัตราแลกเปลี่ยนทองคำหนึ่งออนซ์เท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐโดยธนาคารกลางของสหรัฐฯเป็นผู้ได้อภิสิทธิ์ในการพิมพ์ธนบัตร นั่นหมายความว่า หากชาติใดต้องการธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องส่งทองคำไปแลกเปลี่ยนและใครมีธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ 35 ดอลลาร์ก็สามารถนำไปแลกทองคำได้หนึ่งออนซ์กลับคืนมาได้
หลังจากนั้นไม่นาน ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐได้ถูกธนาคารกลางสหรัฐ(ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นของกลุ่มนายธนาคารจากยุโรป)แอบพิมพ์เพิ่มขึ้นมาเกินกว่าทองคำสำรองที่ได้ตกลงกันไว้ การจะแลกทองคำหนึ่งออนซ์ด้วยเงิน 35 ดอลล่าร์สหรัฐจึงทำไม่ได้อีกต่อไป ต้องใช้เงินดอลล่าร์ฯมากกว่านั้น คนทั่วไปจึงดูว่าทองคำมีราคาแพง อันที่จริงแล้ว ทองคำไม่ได้มีราคาแพงขึ้น แต่สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐต่างหากที่มีเสื่อมค่าลงเพราะถูกพิมพ์ออกมามากเกินกว่าที่ตกลงกัน
ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการอิสลามจึงถือว่าธนบัตรดอลล่าร์ที่พิมพ์เกินออกมาเกินกว่าทองคำที่หนุนหลังนั้นคือส่วนเกินที่ต้องห้ามหรือ “ริบา” และมีความคิดว่าโลกมุสลิมควรจะหันกลับไปใช้เงินสกุล “ดีนาร์ทองคำ”
ยิ่งในปี ค.ศ.1971 เมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสันได้ออกประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะออกธนบัตรโดยไม่อาศัยทองคำสำรองอีกต่อไปแล้วและไม่อนุญาตให้เอาดอลล่าร์มาแลกทองคำกลับคืน นับแต่นั้นมา ประเทศต่างๆที่ส่งทองคำไปสำรองที่สหรัฐฯจึงรู้ว่าทองคำของตัวเองถูกปล้นแล้ว
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
US dollar maya
Banjong Binkasan
The world has been using gold and silver coins as a proxy and medium of trading for thousands of years and has never had a problem with inflation. If someone doesn't have a mint, they can exchange their goods.
Even if there is no inflation problem But there are problems with the accumulation of gold in the hands of the minority, which makes the economy non-circulating and the exploitation of gold lending and interest charges. Religion introduced alms and bans on interest in the Bible from the time of Moses and Jesus confirming it. After that, the Quran was sent to confirm the ban on interest once again.
in the understanding of the common people Interest is the excess of the principal in the loan agreement that the debtor has to pay the owner of the money. But the Prophet Muhammad As a merchant who had to deal with money and foresight. He has laid down the principle of finance that “Don't sell gold for gold unless it's the same weight. And don't sell it for money unless it's the same weight. But you can sell gold to turn it into money. Or sell the money to gold if you want.”
Simply put, it is Gold and gold exchanged must be of equal weight and delivered immediately. But gold and silver are different metals. They can be exchanged with different weights. It depends on the satisfaction of the exchanger.
After the world enters the industrial revolution era Humans have begun to produce large quantities of products and have to sell them all over the world. merchants in Europe, especially the British need funds therefore need to borrow money But the Bible forbids interest, which in those days was called usury. This term refers to the high interest charged by capitalists on the poor because of the high risk of repayment.
Wrong with the merchants who have the ability to pay back. Investors therefore charge low interest rates. Merchants and capitalists asked the Pope to approve loans at low interest rates for merchants. But the Pope sees whether interest is high or low is interest. therefore not approved But trade must go on. Capitalists and businessmen did not listen to the Pope and borrowed business, calling interest in the modern word interest. Since then, Western businessmen have disobeyed him and interest has become the heart of the modern financial system.
International trade in the post-industrial era used the pound sterling as a medium of exchange. But when the United States was a superpower and prospered by selling arms to European nations in both world wars. The United States became a superpower that people wanted to associate with. The US dollar became the international currency of the world instead of the British pound sterling.
When trading requires gold as a medium of exchange It was difficult to pay for goods in gold. At the time, America had two-thirds of the world's gold reserves, so representatives of 44 countries in Europe met in Bretton Wood, New Hampshire. United States of America to agree on what currency to use for international trade
After several days of meeting The meeting agreed to use the US dollar and standardized the exchange rate of one ounce of gold equal to 35 US dollars, with the US Federal Reserve having the privilege of printing the banknotes. that means If a nation wants US dollar bills, gold must be exchanged, and anyone with a 35 dollar bill can exchange one ounce of gold back.
shortly after US dollar banknotes are owned by the US Federal Reserve (which actually does not belong to the US government). But a group of bankers from Europe) secretly printed more than the agreed gold reserves. It is no longer possible to exchange an ounce of gold for $35. It takes more dollars than that. People generally see gold as expensive. in fact Gold doesn't get more expensive. But it was the US dollar that depreciated because it was printed more than was agreed upon.
For this reason, Islamic scholars consider the overprinted dollar bills beyond the gold backing to be prohibited surpluses, or riba, and think the Muslim world should turn to money. Surname "Golden Dinar"
Especially in 1971 when President Richard Nixon announced that the United States would no longer issue banknotes without gold reserves and would not allow the dollar to be exchanged for gold. Then, countries that sent gold to the US in reserve knew that their own gold had been robbed.
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น