บรรจง บินกาซัน
มนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้าง มนุษย์จึงไม่ใช่ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งตัวมนุษย์เอง ดังนั้น จึงมีคำถามว่าถ้าเช่นนั้นใครเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง
ก่อนยุควิทยาศาสตร์ มนุษย์ได้รับคำตอบจากคัมภีร์ศาสนาว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้บอกว่าธรรมชาติคือผู้สร้างสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย
แต่เมื่อถูกถามว่าธรรมชาติคืออะไร คนที่เชื่อว่าธรรมชาติเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งกลับให้คำตอบไม่ได้ว่าธรรมชาติคืออะไร
ถ้าตอบว่าธรรมชาติคือกฎที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง จะมีคำถามตามมาว่าใครเป็นผู้สร้างกฎและควบคุมกฎ เพราะธรรมชาติมิใช่ความบังเอิญเหมือนกับการโยนลูกเต๋า
ขณะที่ผู้คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์วัตถุนิยมยังไม่สามารถให้ความหมายของคำว่าธรรมชาติ แต่ศาสนาได้ให้คำตอบมานานแล้วว่าธรรมชาติคือกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาควบคุมสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
ดาวนับแสนล้านดวงถูกสร้างขึ้นมาโดยมิได้ถูกปล่อยให้โคจรไปตามยถากรรม แต่ดาวทุกดวงมีกฎการโคจรควบคุมมันอยู่อย่างแน่นอนตายตัวจนมนุษ์สามารถคำนวณวิถีการโคจรของมันได้อย่างแม่นยำ
อวัยวะแต่ละชิ้นในร่างกายของมนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาในตำแหน่งเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น อวัยวะแต่ละชิ้นยังถูกกำหนดหน้าที่การทำงานจนแพทย์สามารถเรียนรู้และนำมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อรักษาโรคได้
ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าจนรู้จักดีเอ็นเอ ก็ยิ่งทำให้ความจริงของศาสนาชัดเจนขึ้นว่ามนุษย์ทุกคนถูกกำหนดชะตากรรมทางกายภาพและความเป็นไปของชีวิตไว้ล่วงหน้าแล้ว
เกิดแก่เจ็บตายเป็นกฎของชีวิตที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับมนุษย์ทุกคนและไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงกฎนี้ได้
ก่อนหน้าสมัยพุทธกาล ความเชื่อในเรื่องมนุษย์ถูกกำหนดชะตากรรมทางกายภาพและความเป็นไปของชีวิตถูกเรียกว่า “พรหมลิขิต” นั่นคือ พระผู้ทรงสร้างได้กำหนดทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
เมื่อความบังเอิญไม่ใช่วิทยาศาสตร์และเป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่าทุกสิ่งย่อมมีเหตุเป็นแดนเกิด นักสังคมวิทยากลุ่มหนึ่งจึงมองว่าปรากฏการณ์หรือความเป็นไปทางสังคมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหรือถูกวางแผนไว้แล้วอย่างมีวัตถุประสงค์ ทัศนะเช่นนี้เป็นที่มาของทฤษฎีที่เชื่อว่ามีผู้กำหนดความเป็นไป (Determinism) และผู้กำหนดในทฤษฎีนี้คือพระเจ้า
ก่อนหน้านี้ มีผู้พยายามที่จะอธิบายว่าความเป็นไปของประวัติศาสตร์เกิดจากความขัดแย้งระหว่างชนชั้น แต่ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มเชื่อในสิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy) กล่าวคือ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่มันเกิดขึ้นจากการวางแผนอย่างลับๆโดยคนกลุ่มหนึ่งที่มีความประสงค์จะให้สถานการณ์ของโลกเป็นไปตามความประสงค์ของพวกตน เช่น สงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมาหรือสงครามโลกครั้งที่สามที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน กรณีเครื่องบินถล่มตึกเวิร์ลเทรด เซนเตอร์ การรุกรานอาฟกานิสถานและอิรัก หรือการหายไปอย่างลึกลับของเที่ยวบิน MH370 เป็นต้น
ในคัมภีร์กุรอานเล่าว่าเมื่อท่านนบีมุฮัมมัดนำอิสลามมาเผยแผ่ในเมืองมักก๊ะฮฺ ชนชั้นผู้ปกครองได้พยายามได้วางแผนต่อต้านท่านอย่างเป็นขั้นตอนจนถึงขั้นวางแผนลับสังหารท่านเพื่อทำลายอิสลาม แต่เนื่องจากนบีมุฮัมมัดมีภารกิจต้องนำคัมภีร์กุรอานมายังมนุษยชาติและคัมภีร์กุรอานได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องอยู่กับมนุษยชาติจนถึงวันสิ้นโลก พระเจ้าจึงได้บอกนบีมุฮัมมัดว่า
“คนเหล่านี้ (บรรดาผู้ปฏิเสธ) กำลังวางแผนกันอยู่ และฉันก็กำลังวางแผนอยู่เช่นกัน ดังนั้น (โอ้นบี) จงปล่อยบรรดาผู้ปฏิเสธไว้อย่างนั้น จงปล่อยพวกเขาไว้สักระยะหนึ่ง (กุรอาน 86:15-17)
มนุษย์จะสมคบคิดกันอย่างไร แต่แผนการของพระเจ้าจะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น