บรรจง บินกาซัน
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรมุสลิมในประเทศต่างๆของยุโรปไม่ว่าจะโดยการอพยพเข้าเมืองหรือโดยการเกิดกำลังเป็นปัญหาทางสังคมอย่างหนึ่งของรัฐบาลและชุมชนในยุโรปไม่ต่างไปจากที่รัฐบาลสหรัฐและชาวอเมริกันกำลังกังวลต่อการอพยพเข้าเมืองของชาวเม็กซิกันทั้งนี้เพราะชาวอเมริกันมองว่าพวกผู้อพยพเหล่านี้ได้เข้ามาแย่งงานในประเทศของตนและเกรงว่าคนเหล่านี้จะเป็นที่มาของอาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้รัฐบาลและชุมชนชาวตะวันตกหวั่นวิตกมากไปกว่านั้นก็คือการตื่นตัวของชาวมุสลิมที่กำลังหันกลับมาสู่การดำเนินชีวิตตามวิถีอิสลามกันมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดก็คือการแต่งกายของผู้หญิงมุสลิมที่ปกปิดร่างกายมิดชิดมากขึ้นในขณะที่ผู้หญิงในสังคมตะวันตกกลับแต่งกายเปิดเผยเรือนร่างมากขึ้น
หลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 ภาพเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ที่ถูกนำมาออกมาแพร่ไปทั่วโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยสื่อโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่อย่างเช่น ซีเอ็นเอ็น และบีบีซีประกอบการตั้งศาลเตี้ยพิพากษาโดยไม่มีการไต่สวนว่าอุซามะฮฺ บินลาดินเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังทำให้ชาวตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรปเกิดโรคอิสลาโมโฟเบีย(Islamophobia)ขึ้นมา
โฟเบีย แปลว่ากลัว คำว่า “ไฮโดรโฟเบีย” (Hydrophobia) แปลว่า “โรคกลัวน้ำ” ซึ่งเป็นศัพท์ทางวิชาการของโรคสุนัขบ้าที่กลัวน้ำ โรคนี้เกิดขึ้นกับสุนัขและมีตัวเชื้อโรคเป็นสาเหตุ แต่โรคอิสลาโมโฟเบียเป็นโรคทางจิตประสาทซึ่งไม่มีเชื้อโรค แต่โรคนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเป็นกระบวนการตั้งแต่ก่อนหน้าเหตุการณ์ช็อคโลก 11 กันยายน ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่องได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยจงใจฉายภาพให้คนทั่วโลกเห็นว่ามุสลิมชาวอาหรับเป็นพวกผู้ก่อการร้ายเป็นการปูทางไว้ก่อน ภาพเหตุการณ์ถล่มตึกเวร์ลเทรดเป็นแค่เพียงการปล่อยเชื้อความหวาดกลัวและความเกลียดชังมุสลิมและอิสลามให้รุนแรงทั่วโลกมากขึ้นเท่านั้นเอง
แผนการดังกล่าวดูเหมือนว่าได้ผลอย่างกว้างขวาง เพราะหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ชาวมุสลิมโดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางถูกมองด้วยความหวาดระแวงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อิสลามได้ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นลัทธิก่อการร้าย มัสญิดหลายแห่งถูกโจมตี องค์กรมุสลิมหลายแห่งถูกบุกตรวจค้น เงินกองทุนการกุศลของมุสลิมหลายแห่งถูกอายัด สตรีมุสลิมที่แต่งกายตามหลักศาสนาถูกข่มขู่คุกคามและต่อต้าน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กลับทำให้คนในสหรัฐและยุโรปจำนวนไม่น้อยเกิดความสงสัยและหันมาให้ความสนใจศึกษาอิสลามกันมากขึ้น ร้านหนังสือหลายแห่งไม่เพียงแต่ต้องนำหนังสืออิสลามเก่าๆออกมาขายเท่านั้น แต่ยังต้องพิมพ์เพิ่มอีกมากมาย ภาษาอาหรับกลับกลายเป็นภาษาที่หลายคนสนใจจนต้องลงทะเบียนเข้าคิวรอเรียนและชาวตะวันตกอีกจำนวนมากมายได้เข้ารับอิสลาม
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและการตื่นตัวทางศาสนาของชาวมุสลิมนี้เองที่ทำให้ประเทศตะวันตกเกิดความกังวลเพราะเกรงว่า“การปะทะกันทางอารยธรรม”จะเกิดขึ้นในประเทศของตนซึ่งจะสร้างความเสียหายขึ้นในภายหลัง ดังนั้น นักวิชาการโดยเฉพาะนักสังคมวิทยาจึงได้พยายามศึกษาชุมชนมุสลิมตามประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อทำความเข้าใจในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
ประเทศไทยซึ่งมีประชากรมุสลิมอยู่ไม่น้อยก็เป็นประเทศหนึ่งที่นักวิชาการตะวันตกให้ความสนใจมาศึกษา เมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนเองได้มีโอกาสต้อนรับกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจากนอร์เวย์ซึ่งสนใจในปรากฏการณ์การตื่นตัวของมุสลิมในยุโรปและในที่ต่างๆ
ในการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันตอนหนึ่ง ศาสตราจารย์ผู้นำคณะได้ถามว่า ปัจจุบัน ประเทศที่เจริญก้าวหน้าได้เปลี่ยนสภาพของตัวเองเป็นประเทศวัตถุนิยมปฏิเสธศาสนากันหมดแล้ว แต่อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มุสลิมหันกลับเข้าสู่ศาสนา
ศาสตราจารย์ผู้ถามใช้คำว่า Secularisation ซึ่งหมายถึงการมุ่งแต่วัตถุโดยไม่สนใจหรือเกี่ยวข้องกับศาสนา ความจริงแล้ว คำนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฝ่ายโปรเตสแตนท์มีปฏิกิริยาต่อต้านคริสตจักรแคธอลิกและแยกตัวออกมาตั้งคริสตจักรของตนเอง
ผมได้แสดงความเห็นไปว่าในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของมนุษย์ประกอบไปด้วยร่างกายและวิญญาณ ชีวิตมนุษย์จะสมบูรณ์และมีความสุขก็ต่อเมื่อร่างกายและวิญญาณเกิดความสมดุลกันพอดี ไม่หนักไปด้านหนึ่งด้านใด ในอดีต ก่อนที่โลกจะมีกฎหมายและวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้า ศาสนาต่างหากที่ทำหน้าที่สร้างสมดุลให้แก่ชีวิตมนุษย์ บุคคลที่ดำเนินชีวิตตามคำสอนของศาสนาจึงมักไม่มีความว้าวุ่นและสังคมที่วางพื้นฐานอยู่บนหลักการศาสนาจึงไม่ค่อยมีความวุ่นวาย แต่เมื่อมนุษย์และสังคมละทิ้งศาสนา โลกนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากป่าช้าแตกที่ภูตผีปีศาจออกมาอาละวาดและครองเมืองแทนคนดีมีความสามารถ
เมื่อใดก็ตามที่โมเมนตัมหรือลูกตุ้มของชีวิตแกว่งไปทางด้านวัตถุอย่างเดียว มนุษย์ก็จะหลงใหลไขว่คว้าหาวัตถุสนองความต้องการของเนื้อหนังร่างกายเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ความยุติธรรมและความสงบที่วิญญาณต้องการเช่นกัน ความเสื่อมทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่สามัญสำนึกมนุษย์ยอมรับไม่ได้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องเป็นพระ เพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดแล้ว มนุษย์จึงมีความรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา
แน่นอน ถ้ามนุษย์ต้องการความสงบทางด้านวิญญาณ มนุษย์อาจจะหนีออกจากความฟอนเฟะเละเทะทางโลกวัตถุไปดำเนินชีวิตแบบนักพรตหรือฤษีชีไพรหรือไม่ก็ใช้ชีวิตแบบนักบวช แต่มนุษย์มิสามารถใช้ชีวิตแบบนักบวชหรือฤษีชีไพรได้หมด ดังนั้น มนุษย์ส่วนหนึ่งก็ต้องหันมาเรียกร้องความเป็นธรรมและต่อต้านลัทธิวัตถุนิยม นี่คือที่มาของการเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ การต่อสู้ของสองลัทธิในศตวรรษที่แล้วได้ทำให้ผู้คนต้องล้มตายนับสิบนับร้อยล้านคนจนในที่สุดลัทธิคอมมิวนิสต์ต้องพ่ายแพ้และกลายเป็นประวัติศาสตร์ไป
ปัจจุบัน โลกเหลือลัทธิใหญ่อยู่เพียงลัทธิเดียวคือลัทธิทุนนิยมที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำและคนทั่วโลกต่างพากันคิดว่าโลกนี้คงจะไม่มีลัทธิอะไรเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหรือระเบียบของสังคมแล้วนอกไปจากลัทธิทุนนิยม
แต่ชาวมุสลิมทั่วโลกมิได้เห็นเช่นนั้น เพราะชาวมุสลิมทั่วโลกมีมรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง พวกเขาเริ่มกลับมามองประวัติศาสตร์ของตัวเองว่าครั้งหนึ่งอิสลามได้เป็นระบอบการดำเนินชีวิตของประชาคมโลกที่สามารถสร้างสมดุลให้แก่ชีวิตได้ และเคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต แต่เพราะความฟอนเฟะเลเทะของผู้ปกครองรัฐอิสลามที่อิสตันบูล ระบอบอิสลามจึงได้ถูกทำลายลงไปโดยแผนการของชาวตะวันตก ความต้องการที่จะกลับไปสู่วิถีอิสลามจึงเริ่มขึ้นตามชุมชนและประเทศมุสลิมต่างๆ
หลังจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของการปฏิวัติครั้งนั้นและท่าทีต่อต้านมหาอำนาจสหรัฐได้เป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนหนุ่มสาวมุสลิมทั่วโลกเริ่มหันกลับมาสู่อิสลามด้วยความกระตือรือร้น นักศึกษาหญิงมุสลิมในมหาวิทยาลัยต่างๆได้แสดงอัตลักษณ์ของตนออกมาให้เห็นด้วยการแต่งกายปกปิดมิดชิดตามหลักการอิสลามกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ศาสตราจารย์ผู้นำคณะก็ยอมรับเพราะตนเองเคยเดินทางมาประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ผมทิ้งท้ายการพูดคุยกันในครั้งนั้นว่าถึงแม้ประเทศไทยจะก้าวหน้าสู้ชาติตะวันตกไม่ได้ แต่ประเทศไทยก็ให้สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจแก่ทุกศาสนิก เคารพในสิทธิมนุษยชน อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทุกศาสนิกจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ผมรู้สึกอดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศสซึ่งเป็นต้นกำเนิดประชาธิปไตยและเสรีนิยมจึงต่อต้านมุสลิมที่ต้องการจะดำเนินชีวิตตามความศรัทธาและศาสนาของตน ?
ถ้าหลุยส์ ปาสเตอร์ยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าท่านจะสามารถคิดค้นเซรุ่มป้องกันโรคอิสลาโมโฟเบียให้คนฝรั่งเศสและชาวโลกได้ไหม
ที่มา : facebook ของอาจารย์บรรจง บินกาซัน มูลนิธิสันติชน
https://www.facebook.com/Banjong.Binkason
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
[ Translate by Google Translate ]
Islamophobia Maya Bias against Islam
Source: facebook of Mr.Banjong Binkason Santichon Islamic Foundation
https://www.facebook.com/Banjong.Binkasonc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น